แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ทรัพย์สินที่พิพาทกันในชั้นฎีกาเป็นทรัพย์ที่พิพาทกันมาในศาลชั้นต้น ซึ่งศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ที่ดินพิพาทมีราคา 136,000 บาท และกำหนดค่าเสียหายที่จำเลย จะต้องชำระแก่โจทก์ในกรณีที่สภาพไม่เปิดช่องให้จัดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทเท่ากับราคาที่ดินพิพาทจำนวน 136,000 บาทคู่ความมิได้อุทธรณ์ฎีกาโต้แย้งคัดค้านราคาที่ดินพิพาทดังกล่าว คดีนี้จึงมีจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท ซึ่งต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่งแม้จำเลยเสียค่าขึ้นศาลขึ้นฎีกาในทุนทรัพย์ 1,000,000 บาทก็ไม่ทำให้เป็นฎีกาที่ไม่ต้องห้ามได้ ที่ศาลชั้นต้นรับฎีกาของจำเลย มานั้นเป็นการไม่ชอบศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2528 จำเลยได้ทำสัญญาจะขายที่ดินโฉนดเลขที่ 2884 ให้โจทก์ในราคา 80,000 บาทโจทก์ชำระเงินมัดจำแก่จำเลยแล้วจำเลย 60,000 บาท ส่วนที่เหลือจำนวน 20,000 บาท ตกลงชำระในวันจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ แต่จำเลยผิดสัญญาไม่ดำเนินการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 2884 ให้โจทก์ และรับเงินค่าที่ดินส่วนที่เหลือ 20,000 บาท จากโจทก์ หากจำเลยไม่ไปจดทะเบียนโอนที่ดินให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนา โดยให้โจทก์นำค่าที่ดินส่วนที่เหลือจำนวน 20,000 บาท ชำระค่าธรรมเนียมและค่าภาษีเงินได้ในการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินก่อน เหลือเท่าใดให้โจทก์วางศาลหรือสำนักงานวางทรัพย์เพื่อชำระหนี้แก่จำเลย และให้จำเลยไถ่ถอนจำนวนที่ดิน หากจำเลยไม่ไถ่ถอน ให้โจทก์เป็นผู้ไถ่ถอน โดยให้จำเลยชำระค่าไถ่ถอนคืนโจทก์พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่โจทก์ชำระเงินค่าไถ่ถอนจำนองที่ดินจนกว่าจำเลยจะชำระเงินคืนโจทก์ ให้จำเลยออกเงินค่าธรรมเนียมและค่าภาษีเงินได้ในการจดทะเบียนโอนที่ดินให้โจทก์ หากจำเลยไม่สามารถจดทะเบียนโอนที่ดินให้โจทก์ได้ ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์จำนวน1,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับตั้งแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระให้โจทก์เสร็จ
จำเลยให้การว่า เดิมจำเลยทำสัญญากู้ยืมเงินจากโจทก์จำนวน 50,000 บาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 10 ต่อเดือน เมื่อถึงกำหนดชำระจำเลยไม่ได้ชำระเงินต้นและดอกเบี้ยแก่โจทก์ โจทก์จึงให้จำเลยทำสัญญากู้ยืมกับโจทก์ใหม่ โดยให้จำเลยพิมพ์ลายนิ้วมือในสัญญาจะซื้อขายหรือสัญญาวางมัดจำโดยจำเลยเข้าใจว่าสัญญาดังกล่าวเป็นสัญญากู้ยืม จำเลยไม่มีเจตนาที่จะขายที่ดินโฉนดเลขที่ 2884ให้โจทก์ และไม่เคยรับเงินมัดจำค่าที่ดินดังกล่าวจากโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา นางสาววัฒนา มีฟัก ยื่นคำร้องขอเข้ามาเป็นคู่ความ ขอให้ศาลเพิกถอนสัญญาจะซื้อขายหรือสัญญามัดจำที่ดินโฉนดเลขที่ 2884 ตามฟ้องระหว่างโจทก์กับจำเลย ให้จำเลยจัดการไถ่ถอนจำนองที่ดินจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
โจทก์ให้การแก้คำร้องสอด ขอให้ยกคำร้องสอด
จำเลยให้การแก้คำร้องสอด ขอให้ยกคำร้องสอด
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยไปดำเนินการไถ่ถอนจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 2884 แล้วจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่โจทก์ โดยให้จำเลยเสียค่าธรรมเนียมและค่าภาษีเงินได้ในการจดทะเบียนโอน เมื่อโจทก์ได้ชำระเงินค่าที่ดินส่วนที่เหลือจำนวน 20,000 บาท แล้ว หากจำเลยไม่ไปไถ่ถอนจำนองและจดทะเบียนโอนให้แก่โจทก์ ให้ถือคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา โดยให้โจทก์ดำเนินการไถ่ถอนจำนองและจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์เอง แล้วให้จำเลยชำระค่าไถ่ถอนจำนองและค่าธรรมเนียมให้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ของเงินที่โจทก์ออกทดรองในการไถ่ถอนจำนอง นับตั้งแต่วันที่โจทก์ออกเงินทดรองเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะชำระเสร็จ หากสภาพไม่เปิดช่องให้โอนได้ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์จำนวน 136,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงินจำนวนดังกล่าวนับตั้งแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้ยกคำร้องสอด
จำเลยและผู้ร้องสอดอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้โจทก์จำเลยชำระค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทคนละครึ่ง นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ทรัพย์สินที่พิพาทกันในชั้นฎีกาเป็นทรัพย์ที่พิพาทกันมาในศาลชั้นต้น ซึ่งศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ที่ดินพิพาทมีราคา 136,000 บาท กำหนดค่าเสียหายที่จำเลยจะต้องชำระแก่โจทก์ในกรณีที่สภาพไม่เปิดช่องให้จดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทเท่ากับราคาที่ดินพิพาทจำนวน 136,000 บาท คู่ความมิได้อุทธรณ์ฎีกาโต้แย้งคัดค้านราคาที่ดินพิพาทดังกล่าว คดีนี้จึงมีจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท ซึ่งต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคหนึ่ง ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าพยานหลักฐานโจทก์มีเหตุผลและน้ำหนักน่าเชื่อถือมากกว่าของจำเลย คดีฟังได้ว่าจำเลยทำสัญญาจะขายที่ดินพิพาทให้โจทก์และได้รับเงินมัดจำจากโจทก์ไปแล้วจำเลยฎีกาว่าพยานโจทก์มีเจตนาไม่สุจริตเบิกความเป็นเท็จไม่น่าเชื่อถือพยานจำเลยมีน้ำหนักกว่าพยานโจทก์ ฟังได้ว่าจำเลยไม่มีเจตนาทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินพิพาทและรับเงินมัดจำตามฟ้องจากโจทก์แต่อย่างใด ฎีกาของจำเลยจึงเป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์เป็นฎีกาในข้อเท็จจริงต้องห้ามตามบทบัญญัติดังกล่าว แม้จำเลยเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาในทุนทรัพย์ 1,000,000 บาท ก็ไม่ทำให้เป็นฎีกาที่ไม่ต้องห้ามได้ที่ศาลชั้นต้นรับฎีกาของจำเลยมานั้นเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
พิพากษายกฎีกาของจำเลย คืนค่าขึ้นศาลฎีกาทั้งหมดแก่จำเลย