คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1517/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยฎีกาว่าคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไม่ชอบเพราะต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง แม้จำเลยจะขอให้พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นก็ตามแต่การพิจารณาว่าคดีต้องห้ามอุทธรณ์หรือไม่ ไม่ว่าผลจะเป็นประการใด ก็เป็นแต่เพียงชี้ขาดว่าคำพิพากษาชอบด้วยกฎหมายแล้วหรือถ้าไม่ชอบด้วยกฎหมายก็ต้องยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และยกฎีกานั้นเสียโดยไม่ต้องวินิจฉัยในประเด็นแห่งคดี ฎีกาของจำเลยจึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาได้ จำเลยเสียค่าขึ้นศาล 200 บาท ตามตาราง 1(2)(ก)ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง จึงถูกต้องครบถ้วนแล้ว ปัญหาว่าคดีต้องห้ามอุทธรณ์หรือไม่ เป็นเรื่องอำนาจฟ้องซึ่งเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนเป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย และแม้ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ก็เป็นฎีกาที่ชอบจึงไม่ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 วรรคสอง โจทก์ฟ้องบังคับให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 จดทะเบียนโอนที่ดินเนื้อที่ 4 ไร่ 1 งาน 10 ตารางวา ให้แก่โจทก์โดยกำหนดทุนทรัพย์ 3,000 บาท จำเลยที่ 1 คัดค้าน โจทก์กับจำเลยที่ 1รับกันว่าที่ดินตามฟ้องราคา 150,000 บาท จึงเป็นคดีที่มีราคาทรัพย์ที่พิพาทกันในศาลชั้นต้นเป็นเงิน 150,000 บาท ต่อมาศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์แพ้คดี โจทก์อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงขอให้จำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนที่ดินส่วนของจำเลยที่ 1 เนื้อที่ครึ่งหนึ่งของที่โจทก์ฟ้องคือเนื้อที่2 ไร่ 55 ตารางวา อุทธรณ์ของโจทก์จึงเป็นคดีที่มีราคาทรัพย์สินที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์เกินกว่า 50,000 บาทไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรคแรก

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2517 จำเลยทั้งสองตกลงจะขายที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 91เนื้อที่ 4 ไร่ 1 งาน 10 ตารางวา ให้โจทก์ในราคา 3,000 บาทโจทก์ได้ชำระราคาให้จำเลยทั้งสองและจำเลยทั้งสองได้มอบที่ดินให้โจทก์เข้าครอบครองทำประโยชน์และตกลงจะจดทะเบียนโอนที่ดินให้โจทก์ ต่อมาจำเลยทั้งสองผิดสัญญา ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองไปจดทะเบียนโอนขายที่ดินแปลงดังกล่าวให้โจทก์ หากจำเลยทั้งสองฝ่าฝืนให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่เคยทำสัญญาขายที่ดินพิพาทให้โจทก์และไม่เคยรับได้รับเงินค่าซื้อที่ดินพิพาทจากโจทก์ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยที่ 2โจทก์ขอถอนฟ้องจำเลยที่ 2 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตแล้วดำเนินคดีระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ต่อไป ระหว่างการสืบพยานโจทก์ความปรากฏว่าจำเลยที่ 2 ถึงแก่กรรมไปตั้งแต่ก่อนที่โจทก์จะยื่นฟ้องคดีนี้แล้ว ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งที่ให้รับฟ้องจำเลยที่ 2 กับคำสั่งอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องจำเลยที่ 2และมีคำสั่งใหม่เป็นว่าไม่รับฟ้องเฉพาะที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 2
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้จำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนขายที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) สารบบเล่มเลขที่ 91 หมู่ที่ 8 ตำบลหัวเรือ อำเภอเมืองอุบลราชธานีจังหวัดอุบลราชธานี เฉพาะส่วนของจำเลยที่ 1 ให้โจทก์หากจำเลยที่ 1 ฝ่าฝืนให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เห็นสมควรวินิจฉัยปัญหาตามคำแก้ฎีกาของโจทก์เสียก่อนว่า จำเลยที่ 1 เสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาครบถ้วนหรือไม่ และฎีกาของจำเลยที่ 1 ในข้อกฎหมายเป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยหรือไม่ ทั้งเป็นข้อกฎหมายที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในชั้นอุทธรณ์ แล้วจะยกขึ้นฎีกาได้หรือไม่ เห็นว่าจำเลยที่ 1 ฎีกาว่าคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่ชอบเพราะต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งแม้จำเลยที่ 1 จะขอให้พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 โดยพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นก็ตาม แต่การพิจารณาว่าคดีต้องห้ามอุทธรณ์หรือไม่ซึ่งไม่ว่าผลจะเป็นประการใดก็เป็นแต่เพียงชี้ขาดว่า คำพิพากษาชอบด้วยกฎหมายแล้ว หรือถ้าไม่ชอบด้วยกฎหมายก็ต้องยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 และยกฎีกานั้นเสียโดยไม่ต้องวินิจฉัยในประเด็นแห่งคดี ดังนั้น ฎีกาของจำเลยที่ 1 จึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาได้ จำเลยที่ 1 เสียค่าขึ้นศาล 200 บาท ตามตาราง 1 (2) (ก) ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง จึงถูกต้องครบถ้วนแล้ว และคดีต้องห้ามอุทธรณ์หรือไม่ เป็นเรื่องอำนาจฟ้องซึ่งเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย และแม้ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ ก็เป็นฎีกาที่ชอบ ต้องวินิจฉัยให้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคสอง
มีปัญหาวินิจฉัยต่อไปตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ในข้อกฎหมายเพียงประการเดียวว่า คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า จำนวนทุนทรัพย์คดีนี้มีเพียง 3,000 บาทจึงต้องห้ามมิให้โจทก์อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1รับพิจารณาพิพากษาจึงไม่ชอบ พิเคราะห์แล้วเห็นว่า โจทก์ฟ้องบังคับให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 จดทะเบียนโอนที่ดินเนื้อที่ 4 ไร่1 งาน 10 ตารางวา ให้แก่โจทก์โดยกำหนดทุนทรัพย์ 3,000 บาทจำเลยที่ 1 คัดค้าน โจทก์กับจำเลยที่ 1 รับกันว่าที่ดินตามฟ้องราคา 150,000 บาท จึงเป็นคดีที่มีราคาทรัพย์ที่พิพาทกันในศาลชั้นต้นเป็นเงิน 150,000 บาท ศาลชั้นต้นสั่งให้โจทก์เสียค่าขึ้นศาลเพิ่ม และโจทก์ก็ได้เสียค่าขึ้นศาลเพิ่มครบถ้วนแล้วต่อมาศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์แพ้คดี โจทก์อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ขอให้จำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนที่ดินส่วนของจำเลยที่ 1เนื้อที่ครึ่งหนึ่งของที่โจทก์ฟ้องคือเนื้อที่ 2 ไร่ 55 ตารางวาซึ่งโจทก์เสียค่าขึ้นศาลในทุนทรัพย์ 75,000 บาท เป็นการถูกต้องครบถ้วน อุทธรณ์ของโจทก์จึงเป็นคดีที่มีราคาทรัพย์สินที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์เกินกว่า 50,000 บาท ไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรคแรกศาลอุทธรณ์ภาค 1 รับพิจารณาพิพากษาให้จึงชอบแล้ว
พิพากษายืน

Share