แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
การนำสืบข้อเท็จจริงที่ว่าโจทก์ได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทโดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382ไม่มีกฎหมายบังคับให้ต้องมีเอกสารมาแสดง จึงไม่ตกอยู่ในบังคับแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 คู่ความจึงสืบพยานบุคคลได้ โจทก์บรรยายว่า จำเลยได้ขายที่พิพาทให้แก่บิดาโจทก์บิดาโจทก์และโจทก์ได้ครอบครองมาโดยความสงบและโดยเปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมาเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปีแล้ว โจทก์จึงได้กรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ขอให้ศาลพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ จำเลยให้การ ว่า โจทก์ครอบครองที่พิพาทจริง แต่ไม่ได้ครอบครองอย่างเป็น เจ้าของ จำเลยไม่ได้ขายพิพาทให้แก่บิดาโจทก์ บิดาโจทก์ขอทำนา ในที่พิพาทแล้วตกลงให้ข้าวเปลือกเป็นค่าตอบแทน บิดาโจทก์และ โจทก์ครอบครองที่พิพาทแทนจำเลยเท่านั้น สาระสำคัญที่เป็น ประเด็นพิพาทก็คือ โจทก์ครอบครองที่พิพาทอย่างเป็นเจ้าของ จนได้กรรมสิทธิ์โดยผลของกฎหมาย หรือเป็นเพียงครอบครองที่ พิพาทแทนจำเลย แม้ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นพิพาทไว้แต่เพียงว่า โจทก์ครอบครองแทนจำเลยหรือไม่ ย่อมเป็นที่เข้าใจได้แน่แท้ว่าการครอบครองของโจทก์นั้น ถ้าโจทก์ไม่ได้ครอบครองแทนจำเลยโจทก์ก็ต้องครอบครองที่พิพาทอย่างเป็นเจ้าของโดยความสงบและ โดยเปิดเผยตามที่โจทก์บรรยายฟ้องไว้ มิใช่เรื่องที่โจทก์สละประเด็น การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์ครอบครองที่พิพาทโดยความสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเป็นเวลา เกินกว่า 10 ปี โจทก์ได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาท ตามมาตรา 1382 แล้ว จึงมิใช่เป็นการพิพากษานอกประเด็น
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เดิมที่ดินตามโฉนดเลขที่ 6123 เนื้อที่ 21 ไร่1 งาน 80 ตารางวา เป็นของจำเลยประมาณปี 2492 มีถนนสาธารณะสายบ้านยาง-สันประดู่ จังหวัดสระบุรี ตัดผ่านจากทางทิศเหนือลงมาทางทิศใต้ที่บริเวณด้านทิศตะวันออกของที่ดิน แต่จำเลยยังไม่ได้แบ่งแยกออกเป็นทางสาธารณะ ต่อมาจำเลยแบ่งขายที่ดินด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือสุดเนื้อที่ 2 งาน 40 ตารางวา ให้แก่นายไสว ไววุฒิ และนายน้อย อุตมะ ส่วนที่ดินที่เหลืออีกทั้งหมดขายให้แก่บิดาโจทก์ในราคา 18,000 บาท โดยจำเลยตกลงกับบิดาโจทก์ว่าจะต้องหักแบ่งที่ดินออกเป็นทางสาธารณะ และหักแบ่งที่ดินส่วนของนายไสวและนายน้อยออกเสียก่อนแล้วจึงจะจัดการจดทะเบียนโอนที่ดินให้แก่บิดาโจทก์ บิดาโจทก์ชำระเงินค่าที่ดินให้แก่จำเลยเสร็จสิ้นแล้ว และจำเลยได้ส่งมอบที่ดินทั้งหมดให้บิดาโจทก์ครอบครองตลอดมา ต่อมาจำเลยได้แบ่งแยกที่ดินออกเป็นทางสาธารณะเนื้อที่ 3 งาน 16 ตารางวาและแบ่งแยกที่ดินส่วนของนายไสวและนายน้อยเนื้อที่ 2 งาน 40 ตารางวา ส่วนที่ดินของบิดาโจทก์ถูกทางสาธารณะตัดแบ่งแยกออกเป็น 2 ส่วนส่วนทางทิศตะวันตกคือที่ดินโฉนดเลขที่ 6123 จำเลยได้จดทะเบียนโอนให้แก่บิดาโจทก์ ด้านทิศตะวันออกของทางสาธารณะแบ่งแยกออกเป็นที่ดินโฉนดเลขที่ 7896 เนื้อที่ 1 ไร่ 3 งาน 20 ตารางวาในชื่อจำเลย จำเลยยังไม่ได้จดทะเบียนโอนให้แก่บิดาโจทก์แต่บิดาโจทก์ก็ได้ครอบครองทำนาตั้งแต่จำเลยขายให้แก่บิดาโจทก์ตลอดมา ปี 2509 บิดาโจทก์จดทะเบียนให้โจทก์มีกรรมสิทธิ์ร่วมในที่ดินโฉนดเลขที่ 6123 และโจทก์ครอบครองทำนาในที่ดินโฉนดเลขที่ 7896 ทั้งแปลงอย่างเป็นเจ้าของโดยสงบและเปิดเผยและด้วยเจตนาเป็นเจ้าของและเป็นผู้เสียภาษีบำรุงท้องที่ของที่ดินทั้ง 2 แปลงตลอดมานับแต่จำเลยตกลงขาย และบิดาโจทก์ครอบครองที่ดินโฉนดเลขที่ 7896 จนบิดาโจทก์ตายในปี 2521 และโจทก์ครอบครองอย่างเป็นเจ้าของตั้งแต่ปี 2509 จนปัจจุบันเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปีแล้ว จำเลยหรือบุคคลหนึ่งบุคคลใดไม่เคยคัดค้านโต้แย้ง โจทก์จึงเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 7896ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ปี 2532 จำเลยโดยไม่สุจริตไปแจ้งความแก่เจ้าพนักงานตำรวจว่า โฉนดที่ดินเลขที่ 7896 หายไป และไปขอให้เจ้าพนักงานที่ดินออกใบแทนโฉนดให้ใหม่โดยจำเลยไม่มีสิทธิจะกระทำได้เพราะที่ดินเป็นของโจทก์อันเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ ขอให้พิพากษาว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 7896 ตำบลบ้านยาง อำเภอเสาไห้ จังหวัดสระบุรีเนื้อที่ 1 ไร่ 3 งาน 20 ตารางวา เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนให้แก่โจทก์ถ้าไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย ให้จำเลยไปดำเนินการขอออกโฉนดเลขที่ดังกล่าวต่อเจ้าพนักงานที่ดินใหม่และจัดการโอนเป็นชื่อของโจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์
จำเลยให้การว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 6123เนื้อที่ 18 ไร่ และยอมรับว่า จำเลยเคยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดดังกล่าวมาก่อนซึ่งมีเนื้อที่ทั้งหมด 21 ไร่ 1 งาน80 ตารางวา โดยได้มาจากทางมรดก และได้แบ่งแยกขายให้บิดาโจทก์18 ไร่ 1 งาน 4 ตารางวา ขายให้นายไสว นายน้อย 2 งาน40 ตารางวา เหลือนอกนั้นเป็นถนนสาธารณะสำหรับหมู่บ้าน 3 งาน16 ตารางวา จึงยังเหลือที่ดินอีก 1 ไร่ 3 งาน 20 ตารางวาแยกออกมาเป็นโฉนดเลขที่ 7896 มีชื่อจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์แต่ที่ดินที่แยกมานี้ไม่ใช่ของโจทก์ โจทก์ไม่ได้ครอบครองด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ แต่ได้ครอบครองแทนจำเลย จำเลยได้โอนขายที่ดินโฉนดเลขที่ 6123 เนื้อที่ 18 ไร่ 1 งาน 4 ตารางวาให้แก่บิดาโจทก์ในราคา 18,000 บาท แต่ที่ดินโฉนดเลขที่ 7896บิดาโจทก์ไม่มีเงินซื้อและขอจำเลยทำนาโดยยอมเป็นผู้เสียภาษีที่ดินแทน และยอมให้ค่าตอบแทนเป็นข้าวเปลือก บิดาโจทก์ไม่เคยเปลี่ยนการแสดงเจตนาครอบครองที่ดินของจำเลยว่าต่อไปจะครอบครองที่ดินเพื่อตนและที่โจทก์อ้างว่าจำเลยได้ขายที่ดินแก่บิดาโจทก์ทั้ง 21 ไร่ 1 งาน 80 ตารางวานั้น ก็ไม่เป็นความจริง เมื่อบิดาโจทก์ถึงแก่ความตาย โจทก์รับมรดกที่ดินโฉนดเลขที่ 6123 เมื่อปี 2527 โจทก์ก็รับโอนการครอบครองที่ดินพิพาทมาจากบิดาโจทก์ซึ่งครอบครองแทนจำเลย โจทก์ไม่เคยครอบครองที่ดินพิพาทด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ จึงไม่ได้กรรมสิทธิ์ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า โจทก์ได้กรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 7896 ตำบลบ้านยาง อำเภอเสาไห้ จังหวัดสระบุรีเนื้อที่ 1 ไร่ 3 งาน 20 ตารางวา ที่พิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 คำขออื่นให้ยกจำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาวินิจฉัยข้อกฎหมายตามฎีกาจำเลยข้อแรกที่ว่า การที่ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า บิดาโจทก์ซื้อที่ดินจากจำเลยทั้งแปลง เนื้อที่ 21 ไร่เศษ บิดาโจทก์และโจทก์ได้ครอบครองด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเกินกว่า 10 ปี จนได้กรรมสิทธิ์ตามกฎหมาย เป็นการรับฟังพยานบุคคลแทนพยานเอกสารตามเอกสารหมาย ล.1 ซึ่งไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่นั้น เห็นว่าการนำสืบข้อเท็จจริงที่ว่าโจทก์ได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทโดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382ไม่มีกฎหมายบังคับให้ต้องมีเอกสารมาแสดงจึงไม่ตกอยู่ในบังคับแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 คู่ความอาจสืบพยานบุคคลได้ การที่ศาลอุทธรณ์รับฟังพยานบุคคลประกอบระวางรูปแผนที่แบ่งแยกเอกสารหมาย ล.1 แล้วเชื่อข้อเท็จจริงตามคำเบิกความของพยานบุคคลนั้น จึงเป็นเรื่องใช้ดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐาน หาใช่เป็นการนำสืบพยานบุคคลแทนพยานเอกสารหรือหักล้างพยานเอกสารในกรณีที่มีกฎหมายบังคับต้องมีเอกสารมาแสดงไม่การรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์จึงเป็นไปโดยชอบแล้ว
ปัญหาวินิจฉัยข้อกฎหมายตามฎีกาจำเลยต่อมาว่า ศาลอุทธรณ์ได้พิพากษานอกประเด็นหรือไม่ จำเลยฎีกาว่า ศาลชั้นต้นมิได้กำหนดประเด็นพิพาทว่า โจทก์ได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382ดังนั้นศาลอุทธรณ์จึงไม่มีอำนาจพิพากษาให้โจทก์ได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ เห็นว่า คดีนี้คำฟ้องโจทก์ได้บรรยายโดยแจ้งชัดว่าจำเลยได้ขายที่พิพาทให้แก่บิดาโจทก์บิดาโจทก์และโจทก์ได้ครอบครองที่พิพาทอย่างเป็นเจ้าของมาโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมาเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปีแล้ว โจทก์จึงได้กรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ขอให้ศาลพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ และจำเลยได้ให้การว่า โจทก์ครอบครองที่พิพาทจริง แต่ไม่ได้ครอบครองอย่างเป็นเจ้าของ จำเลยไม่ได้ขายที่พิพาทให้แก่บิดาโจทก์ บิดาโจทก์ขอทำนาในที่พิพาทแล้วตกลงให้ข้าวเปลือกเป็นค่าตอบแทน บิดาโจทก์และโจทก์ครอบครองที่พิพาทแทนจำเลยเท่านั้น สาระสำคัญที่เป็นประเด็นพิพาทก็คือโจทก์ครอบครองที่พิพาทอย่างเป็นเจ้าของจนได้กรรมสิทธิ์โดยผลของกฎหมาย หรือเป็นเพียงครอบครองที่พิพาทแทนจำเลยดังนั้น แม้การที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นพิพาทไว้แต่เพียงว่าโจทก์ครอบครองที่พิพาทแทนจำเลยหรือไม่ ย่อมเป็นที่เข้าใจได้แน่แท้ว่า การครอบครองของโจทก์นั้น ถ้าโจทก์ไม่ได้ครอบครองแทนจำเลยโจทก์ก็ต้องครอบครองที่พิพาทอย่างเป็นเจ้าของโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของตามที่โจทก์บรรยายฟ้องไว้ มิใช่เรื่องที่โจทก์ได้สละประเด็นแต่อย่างใดดังนั้น การที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยว่า โจทก์ครอบครองที่พิพาทโดยความสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปี และพิพากษายืนต้องตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่าโจทก์ได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1382 แล้วนั้น จึงมิใช่เป็นการพิพากษานอกประเด็นแต่อย่างใด คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ชอบแล้ว”
พิพากษายืน