คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5183/2537

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ก่อนตายผู้ตายมีรายได้จากการขับรถยนต์สองแถวรับจ้างนำรายได้มาเลี้ยงครอบครัวของโจทก์ผู้เป็นมารดา แต่ขณะถึงแก่ความตายผู้ตายมีอายุ 19 ปี ซึ่งตามพระราชบัญญัติรถยนต์พ.ศ. 2522 ต้องห้ามมิให้ขับรถยนต์สองแถวรับจ้างการขับรถยนต์สองแถวรับจ้างของผู้ตายถือไม่ได้ว่าเป็นการทำงาน ตามสมควรแก่ความสามารถและฐานานุรูปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1567(3) โจทก์ไม่มีสิทธิใช้ให้ผู้ตายทำงานดังกล่าว ฉะนั้น รายได้จากการขับรถยนต์สองแถว รับจ้างที่ผู้ตายได้รับจึงมิใช่รายได้ที่เกิดจากการที่ผู้ตาย มีความผูกพันตามกฎหมายที่จะต้องทำการงานให้เป็นคุณแก่โจทก์ ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกในครัวเรือนตามมาตรา 445 โจทก์จึง เรียกค่าเสียหายในส่วนนี้ไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นมารดาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายจีระศักดิ์ จันทร์เกษม ผู้ตาย เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2528จำเลยได้ใช้อาวุธปืนลูกซองยาวยิงผู้ตายถึงแก่ความตาย ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายคือโจทก์ต้องเสียค่าจัดงานศพผู้ตายตามประเพณีเป็นเงิน 66,000 บาท และต้องเสียค่าฌาปนกิจศพในอนาคตอีก 80,000 บาทนอกจากนี้ยังทำให้โจทก์ต้องขาดไร้อุปการะที่ผู้ตายจะต้องอุปการะโจทก์คิดเป็นเวลา 10 ปี เดือนละ 1,000 บาทเป็นเงิน 120,000 บาท และในระหว่างมีชีวิตอยู่ผู้ตายได้ช่วยกิจกรรมในครัวเรือนมีรายได้เดือนละ 4,000 บาท แต่โจทก์ขอคิดเพียงเดือนละ 2,000 บาท เป็นเวลา 10 ปีเป็นเงิน 360,000 บาทและเมื่อรวมกับดอกเบี้ยถึงวันฟ้องแล้วจำเลยจะต้องรับผิดชำระเงินจำนวน 543,950 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ของต้นเงิน 506,000 บาทนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า รายได้เดือนละ 2,000 บาท ที่โจทก์อ้างว่าผู้ตายได้ช่วยขับรถยนต์สองแถวอันเป็นกิจกรรมในครัวเรือนนั้นโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องเพราะเป็นค่าเสียหายที่ซ้ำซ้อนกับค่าอุปการะเลี้ยงดูที่โจทก์ได้เรียกร้องมาแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์จำนวน295,950 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงินดังกล่าวนับตั้งแต่วันที่ 2 พฤษภาคม 2528 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ส่วนคำขออื่นให้ยกเสีย โจทก์และจำเลยอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายจำนวน210,000 บาท แก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังยุติได้ว่าเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2528 นายจีระศักดิ์ จันทร์เกษม ผู้ตายกับพวกได้ปรับความเข้าใจกับจำเลยในกรณีผู้ตายพานางสาวสรัญญา ฤทธิ์งาม บุตรสาวของจำเลยไปอยู่กินฉันสามีภรรยากันที่จังหวัดลำปางโดยไม่ได้บอกกล่าวจำเลยเป็นเหตุให้จำเลยโกรธจำเลยจึงใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายถึงแก่ความตาย จำเลยถูกฟ้องเป็นคดีอาญาในข้อหาฆ่าผู้ตายโดยเจตนา คดีถึงที่สุดโดยศาลฎีกาพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยมีกำหนด 20 ปี
ส่วนที่โจทก์ฎีกาเรียกร้องค่าขาดแรงงานในครัวเรือนที่ผู้ตายมีต่อโจทก์มาด้วยเป็นเงิน 240,000 บาท นั้น เห็นว่า แม้ก่อนตายผู้ตายจะมีรายได้จากการขับรถยนต์สองแถวรับจ้างนำรายได้ดังกล่าวมาเลี้ยงครอบครัวของโจทก์ก็ตาม แต่เมื่อพิจารณาถึงว่าขณะถึงแก่ความตายผู้ตายมีอายุ 19 ปี ซึ่งตามพระราชบัญญัติรถยนต์พ.ศ. 2522 มาตรา 42 บัญญัติว่า ผู้ขับรถต้องได้รับใบอนุญาตขับรถและมาตรา 49(2) บัญญัติไว้ความว่า ผู้ขอใบอนุญาตขับรถยนต์สาธารณะตามมาตรา 43(4) ต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 25 ปีบริบูรณ์ดังนั้นผู้ตายจึงต้องห้ามมิให้ขับรถยนต์สองแถวรับจ้างซึ่งจัดเป็นรถยนต์สาธารณะตามกฎหมายดังกล่าว การขับรถยนต์สองแถวรับจ้างของผู้ตายถือไม่ได้ว่าเป็นการทำงานตามสมควรแก่ความสามารถและฐานานุรูปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1567(3)โจทก์ไม่มีสิทธิใช้ให้ผู้ตายทำงานดังกล่าว ฉะนั้น รายได้จากการขับรถยนต์สองแถวรับจ้างที่ผู้ตายได้รับจึงมิใช่รายได้ที่เกิดจากการที่ผู้ตายมีความผูกพันตามกฎหมายที่จะต้องทำการงานให้เป็นคุณแก่โจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกในครัวเรือน ดังความที่บัญญัติไว้ในมาตรา 445 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ดังที่โจทก์กล่าวในฎีกา โจทก์จึงเรียกค่าเสียหายในส่วนนี้ไม่ได้ คำพิพากษาฎีกาทั้งสองเรื่องที่โจทก์อ้างอิงในฎีกานำมาปรับกับคดีนี้ไม่ได้ที่ศาลอุทธรณ์ไม่ให้ค่าเสียหายในส่วนนี้แก่โจทก์นั้นชอบแล้ว”
พิพากษายืน

Share