คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3342/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยทั้งสามฐานร่วมกันมีอาวุธปืนที่นายทะเบียนออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุกคนละ 8 เดือน ฐานร่วมกันพาอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนออกใบอนุญาตให้ได้จำคุกคนละ 4 เดือน ส่วนความผิดฐานร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ศาลชั้นต้นมิได้ปรับบทลงโทษจำเลยทั้งสามศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ลดมาตราส่วนโทษแก่จำเลยที่ 2 และปรับบทความผิดในความผิดที่ศาลชั้นต้นมิได้ปรับบทลงโทษจำเลยทั้งสามดังกล่าวให้ถูกต้องเท่านั้นจึงเป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ไขเล็กน้อยความผิดทั้งสามกระทงดังกล่าวจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 วรรคหนึ่ง จำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพชั้นสอบสวนโดยสมัครใจจึงเป็นคำรับโดยชอบ ศาลรับฟังได้ แต่ลำพังเพียงคำรับสารภาพชั้นสอบสวนยังไม่พอฟังลงโทษจำเลยทั้งสามได้ต้องฟังพยานโจทก์อื่นประกอบต่อไปอีก จำเลยทั้งสามได้ร่วมกันใช้อาวุธปืนยิงไปยังรถยนต์ของผู้เสียหายโดยมีเจตนาจะปล้นทรัพย์ และในขณะเดียวกันย่อมเล็งได้ว่าว่ากระสุนปืนอาจถูกผู้เสียหายถึงแก่ความตายได้แต่ผู้เสียหายได้ขับรถแล่นหนีไปเสียก่อนจึงไม่ได้รับอันตรายจากการปล้นทรัพย์ของจำเลยทั้งสาม และจำเลยทั้งสามไม่สามารถเอาทรัพย์ใด ๆ ไปได้ จำเลยทั้งสามจึงมีความผิดฐานใช้อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ในการพยายามฆ่าและพยายามปล้นทรัพย์และความผิดฐานพยายามฆ่าและพยายามปล้นทรัพย์ด้วย ศาลอุทธรณ์รวมโทษจำคุกจำเลยน้อยกว่าที่ถูกต้องแต่เมื่อโจทก์มิได้ฎีกา ศาลฎีกาจึงไม่อาจแก้ไขให้ถูกต้องได้เพราะเป็นการเพิ่มเติมโทษจำเลย ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212 ประกอบด้วยมาตรา 225

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสามกระทำผิดต่อกฎหมายหลายบทหลายกรรมต่างกัน กล่าวคือจำเลยทั้งสามได้ร่วมกันมีอาวุธปืนลูกซองยาวหมายเลขเจ.398084 ซึ่งเป็นของทางราชการมอบให้ผู้อื่นมีและใช้จำนวน 1 กระบอกและกระสุนปืนลูกซองจำนวน 3 นัด ใช้ยิงได้ ไว้ในครอบครองของจำเลยทั้งสามโดยไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมาย และร่วมกันมีอาวุธปืนเล็กกล แบบเอ.เค.47 ขนาด 7.62 มม. จำนวน 1 กระบอก พร้อมซองกระสุนปืน1 อัน และกระสุนปืนขนาด 7.62 มม. จำนวน 131 นัด ใช้ยิงได้อันเป็นอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครองของจำเลยทั้งสาม จำเลยทั้งสามร่วมกันพาอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนดังกล่าวติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านและทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันสมควร และไม่ได้รับใบอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัวจากเจ้าพนักงานทั้งไม่ใช่กรณีมีเหตุจำเป็นและเร่งด่วนตามสมควรแก่พฤติการณ์ และไม่มีเหตุได้รับการยกเว้นตามกฎหมาย แล้วจำเลยทั้งสามได้ร่วมกันปล้นทรัพย์เอาเงินสดจำนวน 1,200 บาท นาฬิกาข้อมือ1 เรือน ราคา 800 บาท สร้อยคอทองคำหนัก 1 บาท จำนวน 1 เส้นราคา 5,000 บาท และรถยนต์ตู้หมายเลขทะเบียน ม 3382 ปราจีนบุรีจำนวน 1 ค้น ราคา 537,000 บาท รวมราคาทรัพย์ 544,000 บาท ซึ่งอยู่ในความครอบครองของนายเซน อ่อนน้อม ผู้เสียหายไปโดยทุจริตโดยการปล้นทรัพย์จำเลยทั้งสามได้ดักซุ่มอยู่ริมถนนและร่วมกันใช้อาวุธปืนที่มีและพาไปดังกล่าวยิงประทุษร้ายผู้เสียหาย ขณะขับรถผ่านมาตามถนนโดยเจตนาฆ่า ทั้งนี้เพื่อให้ความสะดวกแก่การปล้นทรัพย์การพาทรัพย์นั้นไป และให้ยื่นให้ซึ่งทรัพย์นั้นจำเลยทั้งสามได้ลงมือกระทำความผิดไปโดยตลอดแล้ว แต่การกระทำไม่บรรลุผลเนื่องจากผู้เสียหายก้มตัวหลบและเร่งเครื่องยนต์ ขับหนีไปได้ กระสุนปืนถูกรถยนต์ได้รับความเสียหายหลายแห่ง แต่ไม่ถูกตัวผู้เสียหาย จึงไม่ถึงแก่ความตายสมดังเจตนาของจำเลยทั้งสาม และจำเลยทั้งสามไม่สามารถปล้นเอาทรัพย์สินของผู้เสียหายไปได้ ต่อมาวันที่ 28 กรกฎาคม 2533เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยทั้งสามได้พร้อมกับยึดอาวุธปืนเล็กกลแบบ เอ.เค.47 จำนวน 1 กระบอกพร้อมแม็กกาซีน 1 อัน และกระสุนปืนอาร์ก้า จำนวน 118 นัด และอาวุธปืนลูกซองยาว จำนวน 1 กระบอกที่จำเลยทั้งสามร่วมกันมีและใช้กระทำผิดดังกล่าวเป็นของกลาง นอกจากนี้ยังยึดได้ปลอกกระสุนปืน เอ.เค.47 จำนวน 13 ปลอก และปลอกกระสุนปืนลูกซองจำนวน 1 ปลอก จากที่เกิดเหตุเป็นของกลาง ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 55, 72, 72 ทวิ, 78 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 289, 340, 340 ตรี, 80, 83, 91, 32, 33 ริบของกลางทั้งหมด ยกเว้นอาวุธปืนลูกซองของกลางขอคืนให้แก่ทางราชการ
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 55, 72 วรรคสาม, 72 ทวิ วรรคสอง, 78 วรรคสาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 289(6)(7), 340 วรรคสี่, 340 ตรี, 80 การกระทำของจำเลยทั้งสามเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนออกใบอนุญาตให้ได้ จำคุกคนละ 1 ปี ฐานร่วมกันพาอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืน จำคุกคนละ 6 เดือน กระทงหนึ่งฐานร่วมกันใช้อาวุธปืนที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ ในการกระทำผิดฐานพยายามปล้นทรัพย์และพยายามฆ่า จำคุกตลอดชีวิตกระทงหนึ่ง จำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพในความผิดทั้งสามฐานดังกล่าวในชั้นจับกุมและสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้คนละหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยทั้งสามในความผิดฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนออกใบอนุญาตให้ได้ จำคุกคนละ 8 เดือน กระทงหนึ่งฐานร่วมกันพาอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนจำคุกคนละ 4 เดือนกระทงหนึ่ง ฐานร่วมกันใช้อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ในการกระทำผิดฐานพยายามปล้นทรัพย์และพยายามฆ่า จำคุกคนละ 33 ปี 3 เดือน (ที่ถูก 33 ปี 4 เดือน) ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 53 ส่วนความผิดฐานพยายามปล้นทรัพย์กับความผิดฐานพยายามฆ่าเป็นความผิดกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ลงโทษฐานพยายามฆ่าโดยเหตุฉกรรจ์ อันเป็นบทหนักเพียงบทเดียว ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (ที่ถูกมาตรา 90) ประกอบด้วยมาตรา 52(1) ให้จำคุกคนละตลอดชีวิต แต่จำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพในความผิดฐานนี้ในชั้นสอบสวน เป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสี่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกคนละ 37 ปี6 เดือน และเมื่อรวมโทษทุกกระทงความผิดแล้ว ให้จำคุกจำเลยทั้งสามคนละ50 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91(3) และริบของกลางทั้งหมดยกเว้นอาวุธปืนลูกซองของกลางคืนให้แก่ทางราชการ
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้อีกกรรมหนึ่ง แต่โจทก์มิได้อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์จึงปรับบทให้ถูกต้องแล้วพิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยทั้งสามมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 55, 78 วรรคแรก อีกกระทงหนึ่งลงโทษจำเลยที่ 1 ที่ 3 ฐานร่วมกันมีอาวุธปืนที่นายทะเบียนออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครองโดยไม่รับอนุญาตตามมาตรา 7, 72 ทวิจำคุกคนละ 1 ปี ฐานร่วมกันพาอาวุธปืนโดยไม่รับอนุญาตตามมาตรา 8 ทวิ,72 จำคุกคนละ 6 เดือน และความผิดฐานใช้อาวุธปืนที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490มาตรา 78 วรรคสาม ความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่น และความผิดฐานพยายามปล้นทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 289 (6)(7), 340 วรรคสี่,340 ตรี ประกอบมาตรา 80 ซึ่งเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490 มาตรา 78 วรรคสาม ที่แก้ไขแล้วซึ่งเป็นบทหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกตลอดชีวิตจำเลยที่ 2 อายุยังไม่เกิน 17 ปี ลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 75 แล้ว ลงโทษฐานร่วมกันมีอาวุธปืนที่นายทะเบียนออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครองโดยไม่รับอนุญาตจำคุก 6 เดือน ฐานร่วมกันพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก3 เดือน ฐานใช้อาวุธปืน พยายามฆ่าและพยายามปล้นทรัพย์ และฐานพยายามฆ่าผู้อื่น ฐานพยายามปล้นทรัพย์ เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนวัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 78วรรคสาม ที่แก้ไขแล้ว โดยเปลี่ยนโทษจำคุก 50 ปี แล้ว คงจำคุก 25 ปีจำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คนละหนึ่งในสามคงลงโทษจำเลยที่ 1 ที่ 3 จำคุกคนละ 8 เดือน 4 เดือน และเปลี่ยนโทษจำคุก 50 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 53 แล้วจำคุกคนละ33 ปี 4 เดือน ลงโทษจำเลยที่ 2 จำคุก 4 เดือน 2 เดือน 16 ปี 8 เดือนรวมโทษทุกกระทงความผิดจำเลยที่ 1 ที่ 3 จำคุกคนละ 33 ปี 13 เดือนลงโทษจำเลยที่ 2 จำคุก 16 ปี 14 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง ผู้เสียหายได้ขับรถยนต์หมายเลขทะเบียน ม-3382 ปราจีนบุรี ไปตามถนนธนวิถี โดยขับจากอำเภอตาพระยา มุ่งหน้าไปทางอำเภออรัญประเทศ ครั้นมาถึงบริเวณที่เกิดเหตุ ซึ่งเป็น ทางโค้ง ได้ยินเสียปืนดังหลายนัดและหลายชุดผู้เสียหายได้เร่งความเร็วของรถยนต์ขับผ่านไปได้โดยมีกระสุนถูกรถยนต์ของผู้เสียหายหลายแห่งดังปรากฎตามภาพถ่ายเอกสารหมาย จ.2ที่จำเลยทั้งสามฎีกาว่า พยานหลักฐานโจทก์ไม่พอฟังได้ว่าจำเลยทั้งสามเป็นผู้กระทำผิดและของกลางไม่อาจยืนยันการกระทำผิดได้ พยานหลักฐานโจทก์คงมีแต่คำรับสารภาพของจำเลยทั้งสามในชั้นสอบสวนซึ่งไม่สามารถรับฟังลงโทษจำเลยทั้งสามได้เพราะเป็นคดีอุกฉกรรจ์มีโทษสูง อันเป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ซึ่งเป็นปัญหาข้อเท็จจริงนั้น เห็นว่าสำหรับความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 72 วรรคแรก, 8 ทวิ วรรคแรก, 72 ทวิ วรรคสอง,55, 78 วรรคแรก ศาลชั้นต้นให้ลงโทษฐานร่วมกันมีอาวุธปืนที่นายทะเบียนออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจำคุกคนละ 8 เดือน ฐานร่วมกันพาอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนออกใบอนุญาตให้ได้ จำคุกคนละ 4 เดือน ส่วนความผิดฐานร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ศาลชั้นต้นมิได้ปรับบทลงโทษจำเลยทั้งสามศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ลดมาตราส่วนโทษแก่จำเลยที่ 2 และปรับบทความผิดที่ศาลชั้นต้นยังมิได้ปรับบทลงโทษจำเลยทั้งสามดังกล่าวให้ถูกต้องเท่านั้น จึงเป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ไขเล็กน้อยความผิดทั้งสามกระทงดังกล่าวจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรกศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย คงมีปัญหาตามฎีกาของจำเลยทั้งสามว่าจำเลยทั้งสามมีความผิดฐานใช้อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ ในการพยายามฆ่าและพยายามปล้นทรัพย์ตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 และมีความผิดฐานพยายามฆ่าและพยายามปล้นทรัพย์หรือไม่ แล้ววินิจฉัยว่าจำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพโดยสมัครใจ จึงเป็นคำรับโดยชอบ ลำพังเพียงคำรับสารภาพชั้นสอบสวนยังไม่พอฟังลงโทษจำเลยทั้งสามได้ ต้องฟังพยานโจทก์อื่นประการต่อไปและฟังข้อเท็จจริงว่า พยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบประกอบคำรับสารภาพชั้นสอบสวนฟังได้ว่า จำเลยทั้งสามได้ร่วมกันใช้อาวุธปืนยิงไปยังรถยนต์ของผู้เสียหาย โดยมีเจตนาจะปล้นทรัพย์และในขณะเดียวกันย่อมเล็งเห็นได้ว่ากระสุนปืนอาจจะถูกผู้เสียหายถึงแก่ความตายได้แต่ผู้เสียหายได้ขับรถแล่นหนีไปเสียก่อน จึงไม่ได้รับอันตรายจากการปล้นทรัพย์ของจำเลยทั้งสาม และจำเลยทั้งสามไม่สามารถเอาทรัพย์ใด ๆไปได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสามในความผิดฐานใช้อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ในการพยายามฆ่าและพยายามปล้นทรัพย์ และความผิดฐานพยายามฆ่าและพยายามปล้นทรัพย์ด้วยนั้นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยทั้งสามฟังไม่ขึ้นอนึ่ง แต่ที่ศาลอุทธรณ์รวมโทษจำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 3 เป็นจำคุกรวมคนละ 33 ปี 13 เดือนนั้น เห็นว่าไม่ถูกต้อง เพราะเมื่อรวมโทษจำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 3 ทุกกรรมแล้วจะต้องเป็นโทษจำคุกรวมคนละ 33 ปี16 เดือน แต่เมื่อโจทก์มิได้ฎีกา ศาลฎีกาจึงไม่อาจแก้ไขให้ถูกต้องได้เพราะจะเป็นการเพิ่มเติมโทษจำเลยที่ 1 และที่ 3 ซึ่งต้องห้ามมาตรา 212 ประกอบด้วยมาตรา 225 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
พิพากษายืน

Share