คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2871/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยร่วมกับพวกอีก 3 คน ปล้นทรัพย์ผู้เสียหายโดยคนร้ายซึ่งเป็นพวกของจำเลยคนหนึ่งมีอาวุธปืนติดตัวไปด้วยและใช้อาวุธปืน ดังนี้ จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคสองเท่านั้น ศาลจะนำ ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 340 ตรี มาประกอบการลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคสองเพื่อให้ต้องรับโทษหนักขึ้นหาได้ไม่ เพราะจำเลยไม่ได้เป็นผู้มีหรือใช้อาวุธปืนเพื่อกระทำผิดแต่อย่างใด ขณะที่จำเลยกับพวกมาการปล้นทรัพย์ จำเลยกับพวกไม่มียานพาหนะมา รถยนต์กระบะที่จำเลยขับไปในขณะที่ปล้นทรัพย์นั้นเป็นรถของผู้เสียหายเอง โดยผู้เสียหายนั้นไปด้วยจำเลยเป็นคนร้ายที่ใช้มีดปลายแหลมของกลางบังคับผู้เสียหายและขึ้นขับรถผู้เสียหายไป ระหว่างที่จำเลยขับรถไปพวกจำเลยก็บังคับผู้เสียหายให้ปลดทรัพย์ให้ การที่จำเลยขับรถไปเป็นขับไปตามสภาพของทรัพย์นั้นเองถือไม่ได้ว่าเป็นการปล้นทรัพย์โดยใช้ยานหนะเพื่อกระทำผิดหรือเพื่อให้พ้นการจับกุมอันเป็นเหตุให้รับโทษหนักขึ้นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 ตรี

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 340 ตรี, 313, 91 พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯพ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์จำนวน 30,000 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 340 วรรคสอง, 340 ตรี, 313(2)(3) วรรคแรกพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72 วรรคแรก,72 ทวิ วรรคสอง ประกอบด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 340 ตรีจำคุก 24 ปี ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 313(2)(3) วรรคแรกจำคุก 18 ปี ความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 7, 72 วรรคแรกจำคุก 2 ปี ความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 8 ทวิ วรรคแรก,72 ทวิ วรรคสองจำคุก 1 ปี รวมจำคุกจำเลยมีกำหนด 45 ปี ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์จำนวน 30,000 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า จำเลยใช้มีดปลายแหลมของกลางเป็นอาวุธจี้บังคับผู้เสียหายและขึ้นขับรถของผู้เสียหายไปและนายสุรพลผู้ร่วมกระทำผิดกับจำเลยเป็นผู้มีอาวุธปืนสั้นของกลางติดตัวไปจี้บังคับผู้เสียหายและวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า การกระทำของจำเลยดังกล่าวมานั้นจึงเป็นการร่วมกับพวกอีก 3 คน ปล้นทรัพย์ของผู้เสียหายโดยคนร้ายซึ่งเป็นพวกของจำเลยคนหนึ่งมีอาวุธปืนติดตัวไปด้วยและใช้อาวุธปืน จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคสอง เท่านั้น ศาลจะนำประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 ตรี มาประกอบการลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคสอง เพื่อให้ต้องรับโทษหนักขึ้นหาได้ไม่ เพราะจำเลยไม่ได้เป็นผู้มีหรือใช้อาวุธปืนเพื่อกระทำผิดแต่อย่างใด และขณะที่จำเลยกับพวกมาทำการปล้นทรัพย์นั้น จำเลยกับพวกไม่มียานพาหนะมา รถยนต์กระบะที่จำเลยขับไปในขณะที่ปล้นทรัพย์นั้นเป็นรถยนต์ของผู้เสียหาย โดยผู้เสียหายนั่งไปในรถด้วย การที่จำเลยขับรถยนต์ไปจึงเป็นการขับไปตามสภาพของทรัพย์นั้นเองถือไม่ได้ว่าเป็นการปล้นทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะเพื่อกระทำผิดหรือเพื่อให้พ้นจากการจับกุม อันเป็นเหตุให้โทษหนักขึ้นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 ตรี
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ในข้อหาเรียกค่าไถ่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 313 สำหรับข้อหาปล้นทรัพย์จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคสอง จำคุก 16 ปี รวมกับโทษจำคุกของจำเลยตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนวัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7,72 วรรคแรก จำคุก 2 ปี และโทษจำคุกของจำเลยตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 8 ทวิ วรรคแรก, 72 ทวิ วรรคสองจำคุก 1 ปี รวมเป็นจำคุก 19 ปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3

Share