คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 251/2537

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองรื้อเรือนและสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินของโจทก์ จำเลยทั้งสองให้การและฟ้องแย้งว่าที่ดินพิพาทเป็นของท.และจำเลยทั้งสองเมื่อราคาทรัพย์สินที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000 บาทจึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลอุทธรณ์ภาค 1วินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าจำเลยทั้งสองเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท โจทก์ฎีกาว่าคำเบิกความของโจทก์และพยานโจทก์มีน้ำหนักน่าเชื่อถือรับฟังดีกว่าพยานจำเลย พยานจำเลยไม่น่าเชื่อถือและรับฟัง จึงเป็นฎีกาที่โจทก์โต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 1 ซึ่งเป็นปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคแรก

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดิน 1 แปลงตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 3762 ตำบลทุ่งไชยอำเภออุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ เนื้อที่ 1 ไร่ 3 งาน20 ตารางวา เมื่อประมาณ 4 ปีมานี้ จำเลยทั้งสองได้ขออาศัยปลูกบ้านและยุ้งข้าวลงในส่วนหนึ่งของที่ดินดังกล่าวโดยมีข้อตกลงว่าหากโจทก์ต้องการให้จำเลยทั้งสองรื้อบ้านและสิ่งปลูกสร้างเมื่อใดจำเลยจะปฏิบัติทันทีครั้นเดือนมีนาคม 2532 โจทก์ขอให้จำเลยทั้งสองรื้อบ้านและยุ้งข้าวออกไปแต่จำเลยทั้งสองไม่ยอมปฏิบัติตาม จึงขอให้บังคับจำเลยทั้งสองรื้อบ้านและยุ้งข้าวออกจากที่ดินของโจทก์ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันเสียค่าเช่าที่ดินให้แก่โจทก์เดือนละ 500 บาทนับจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยทั้งสองจะรื้อบ้านและยุ้งข้าวออกจากที่ดินของโจทก์
จำเลยทั้งสองให้การและฟ้องแย้งว่า ที่ดินพิพาทมีเนื้อที่ประมาณ 2 งานเป็นของนายเทียน บุดดาวงค์ บิดาของจำเลยที่ 2ไม่ใช่ของโจทก์ นายเทียนเป็นผู้ปลูกสร้างบ้านลงในที่ดินดังกล่าวประมาณ 20 ปีแล้ว นายเทียนและจำเลยทั้งสองครอบครองที่ดินพิพาทติดต่อกันมาจนปัจจุบันนี้ โจทก์ออก น.ส.3 ก. ที่ดินพิพาทไว้แทนนายเทียนและจำเลยทั้งสอง ขอให้ยกฟ้องและพิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นของนายเทียน บุดดาวงค์ และจำเลยทั้งสอง ห้ามโจทก์และบริวารเข้าเกี่ยวข้อง ให้โจทก์จดทะเบียนโอนที่ดินดังกล่าวให้แก่นายเทียน บุดดาวงค์ และจำเลยทั้งสอง หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนา
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์และนายแก้วสามีโจทก์ไม่ใช่ของนายเทียน เมื่อประมาณ 10 ปี มานี้นายเทียนไม่เคยย้ายไปอยู่ต่างจังหวัด โจทก์ไม่เคยขอให้เจ้าพนักงานอำเภอแบ่งแยกที่ดินพิพาทให้แก่นายเทียน ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองรื้อเรือนและสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดิน ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 3762ตำบลทุ่งไชย อำเภออุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 200 บาท นับจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยทั้งสองจะออกจากที่ดินของโจทก์ฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสองให้ยกเสีย จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับว่าจำเลยทั้งสองมีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทเนื้อที่ประมาณ 2 งานอันเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก.) เลขที่ 3762 ตำบลทุ่งไชย อำเภออุทุมพรพิสัยจังหวัดศรีสะเกษ เนื้อที่ 1 ไร่ 3 งาน 20 ตารางวา ให้ยกฟ้องโจทก์คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองรื้อเรือนและสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินของโจทก์ จำเลยทั้งสองให้การและฟ้องแย้งว่า ที่ดินพิพาทเป็นของนายเทียน บุดดาวงค์และจำเลยทั้งสอง ราคาทรัพย์สินที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกิน200,000 บาท ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า จำเลยทั้งสองเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทโจทก์ฎีกาว่า คำเบิกความของโจทก์และพยานโจทก์มีน้ำหนักน่าเชื่อถือรับฟังดีกว่าพยานจำเลย พยานจำเลยไม่น่าเชื่อถือและรับฟังจึงเป็นฎีกาที่โจทก์โต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 1 ซึ่งเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคแรกที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาจึงเป็นการไม่ชอบศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย”
พิพากษายกฎีกาโจทก์

Share