คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5462/2536

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ศาลมีคำสั่งไม่รับคำให้การแก้ฟ้องแย้งของโจทก์เนื่องจากยื่นเมื่อพ้นกำหนดซึ่งมีผลเท่ากับว่าโจทก์ขาดนัดยื่นคำให้การ แม้จำเลยไม่ได้ยืนคำขอให้ศาลมีคำสั่งว่าโจทก์ขาดนัดยื่นคำให้การภายใน 15 วันแต่หลังจากศาลชั้นต้นทำการชี้สองสถานกำหนดวันสืบพยานแล้วจำเลยก็ได้มาดำเนินกระบวนพิจารณาตามนัดทุกครั้งซึ่งถือว่าจำเลยได้แสดงให้เห็นถึงความประสงค์ในการดำเนินคดีต่อไปแล้วปรากฏว่าก่อนมีคำพิพากษาจำเลยได้ยื่นคำขอให้ศาลมีคำสั่งว่าโจทก์ขาดนัดยื่นคำให้การแก้ฟ้องแย้งเมื่อการสั่งจำหน่ายคดีหรือไม่อยู่ในดุลพินิจของศาลตราบใดที่ศาลยังไม่มีคำพิพากษาจำเลยก็อาจยื่นคำขอเพื่อให้ศาลมีคำสั่งว่าโจทก์ขาดนัดยื่นคำให้การแก้ฟ้องแย้งได้เมื่อจำเลยได้ยื่นคำขอดังกล่าวแล้ว ก็ชอบที่จะมีคำสั่งว่าโจทก์ขาดนัดยื่นคำให้การแก้ฟ้องแย้งและพิพากษาคดีไปได้

ย่อยาว

กรณีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดตามสัญญาเช่าซื้อที่ดิน ขอให้บังคับจำเลยเรียกกรรมสิทธิ์ในที่ดินเนื้อที่ 40 ตารางวา ซึ่งเป็นถนนทางเข้าออกที่ดินของโจทก์สู่ถนนสรงประภาคืนจากนายคมเดช ธีรกุลเกียรติ และให้โจทก์เข้าออกสู่ถนนดังกล่าวได้โดยไม่ถูกปิดกั้น ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จและให้จำเลยโอนที่ดิน โฉนดเลขที่ 56553 ให้แก่โจทก์ตามสัญญาเช่าซื้อโดยให้จำเลยรับเงินค่าที่ดินส่วนที่เหลือ 235,000 บาท จากโจทก์ทันทีมิฉะนั้นให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์ผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อ2 งวดติดกัน จำเลยบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อแล้ว ขอให้ยกฟ้องกับบังคับให้โจทก์และบริวารย้ายออกไปจากที่ดินของจำเลยให้โจทก์ใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยอัตราเดือนละ 100,000 บาทนับแต่วันฟ้องแย้งเป็นต้นไปจนกว่าจะย้ายออกไปเสร็จ
โจทก์ยื่นคำให้การแก้ฟ้องแย้งเมื่อพ้นกำหนดเวลา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับคำให้การแก้ฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 56553 ให้แก่โจทก์และให้จำเลยรับเงินค่าที่ดินส่วนที่เหลือ235,000 บาท จากโจทก์ หากจำเลยไม่ไปจดทะเบียนโอนให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทน คำขออื่นให้ยก จำเลยอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและคำสั่งศาลชั้นต้นลงวันที่ 6 ธันวาคม 2531 ให้ศาลชั้นต้นพิพากษาใหม่ตามรูปคดี โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาตามฎีกาของโจทก์ว่า การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งลงวันที่ 6 ธันวาคม 2531 ให้จำหน่ายคดีฟ้องแย้งของจำเลยออกเสียจากสารบบความเนื่องจากจำเลยไม่ยื่นคำขอในกำหนด 15 วัน เพื่อให้ศาลมีคำสั่งว่าโจทก์ขาดนัดยื่นคำให้การแก้ฟ้องแย้ง และแก้ประเด็นขอ้พิพาทใหม่แล้วมีคำพิพากษาไปนั้นชอบด้วยมาตรา 198 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งหรือไม่ พิเคราะห์แล้วเห็นว่าการที่จำเลยไม่ยื่นคำขอให้ศาลมีคำสั่งว่าโจทก์ขาดนัดยื่นคำให้การแก้ฟ้องแย้งนั้น มาตรา 198 วรรคสองให้ศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดีเห็นได้ว่าวัตถุประสงค์มิให้จำเลย(โจทก์ฟ้องแย้ง) ปล่อยปละละเลยไม่ดำเนินคดีของตนภายในเวลาที่กำหนด แต่ศาลจะมีคำสั่งจำหน่ายคดีหรือไม่อยู่ในดุลพินิจคดีนี้ปรากฏว่าศาลมีคำสั่งไม่รับคำให้การแก้ฟ้องแย้งของโจทก์เนื่องจากยื่นเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลายื่นคำให้การซึ่งมีผลเท่ากับว่าโจทก์ขาดนัดยื่นคำให้การ แม้จำเลยจะไม่ได้ยื่นคำขอให้ศาลมีคำสั่งว่าโจทก์ขาดนัดยื่นคำให้การแก้ฟ้องแย้งแต่หลังจากศาลชั้นต้นทำการชี้สองสถานกำหนดวันนัดสืบพยานแล้วจำเลยก็ได้มาดำเนินกระบวนพิจารณาตามนัดทุกครั้งซึ่งถือว่าจำเลยได้แสดงให้เห็นถึงความประสงค์ในการดำเนินคดีต่อไปแล้วทั้งศาลก็ได้ทำการสืบพยานโจทก์จำเลยตามประเด็นข้อพิพาทที่กำหนดไว้จนเสร็จการพิจารณาคดีและนัดฟังคำพิพากษาแล้วจึงไม่ชอบที่จะมีคำสั่งจำหน่ายคดีฟ้องแย้งของจำเลยและแก้ประเด็นข้อพิพาทใหม่ สำหรับการยื่นคำขอให้ศาลมีคำสั่งว่าโจทก์ขาดนัดยื่นคำให้การแก้ฟ้องแย้งนั้น เมื่อเห็นว่าการสั่งจำหน่ายคดีหรือไม่อยู่ในดุลพินิจของศาล ดังนั้น ตราบใดที่ศาลยังไม่มีคำพิพากษาจำเลยก็อาจยื่นคำขอเพื่อให้ศาล มีคำสั่งว่าโจทก์ขาดนัดยื่นคำให้การแก้ฟ้องแย้งได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นชอบแล้ว”
พิพากษายืน

Share