คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3046/2536

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่า ระหว่างเดือนกรกฎาคมถึงเดือนตุลาคม 2528 ห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2หุ้นส่วนผู้จัดการ ได้ติดต่อให้โจทก์จัดหาห้องพักที่ฮ่องกงให้แก่ลูกค้าของจำเลยที่ 1 โจทก์ได้จัดหาห้องพักและออกเงินทดรองสำหรับห้องพักให้ลูกค้าของจำเลยที่ 1ในเดือนสิงหาคมและตุลาคม 2528 โจทก์จัดหาห้องพักและออกเงินทดรองค่าห้องพัก 2 ครั้ง เป็นเงิน 5,085 เหรียญฮ่องกงส่วนเดือนตุลาคม 2528 โจทก์หาห้องพักและจ่ายเงินทดรองค่าห้องพักเป็นเงิน 18,130 เหรียญฮ่องกง เมื่อถึงกำหนดจำเลยที่ 1 ไม่ชำระหนี้ให้โจทก์นอกจากนั้นโจทก์ยังแนบเอกสาร ที่เกี่ยวข้องกับคำฟ้องดังกล่าวมาท้ายฟ้องด้วย ฟ้องของ โจทก์ได้บรรยายถึงสภาพแห่งข้อหาคือจำเลยที่ 1 ให้โจทก์ จัดหาห้องพักให้ลูกค้าจำเลยที่ 1 และข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลัก แห่งข้อหาคือโจทก์ได้จัดหาห้องพักและออกเงินทดรอง ค่าห้องพักดังกล่าวแต่จำเลยที่ 1 ไม่ชำระเงินทดรอง ค่าห้องพักแก่โจทก์โดยแจ้งชัดพอที่จำเลยทั้งสองจะเข้าใจแล้ว ส่วนที่ฟ้องของโจทก์มิได้บรรยายว่าโจทก์จัดหาห้องพักและ จ่ายค่าห้องพักที่ไหนนั้น เป็นรายละเอียดโจทก์สามารถ นำสืบในชั้นพิจารณาได้ ฟ้องของโจทก์ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง แล้วไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม จำเลยที่ 1 ให้โจทก์จัดหาห้องพักที่ฮ่องกง และ ทดรองจ่ายค่าห้องพักแก่ลูกค้าของจำเลยที่ 1 แล้วโจทก์ มาฟ้องเรียกเงินทดรองจ่ายค่าห้องพักดังกล่าว เป็นเรื่อง ตัวแทนเรียกเงินที่ออกทดรองจ่ายไปในการจัดทำกิจการของ ตัวการ มิใช่เป็นเรื่องโจทก์เป็นพ่อค้าเรียกเอาเงินที่ ได้ออกทดรองไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165(1)(เดิม) ซึ่งในกรณีเช่นนี้ไม่มีกฎหมายกำหนด อายุความไว้เป็นการเฉพาะต้องใช้อายุความ 10 ปี ตามมาตรา 164(เดิม)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายของฮ่องกงในฐานะเป็นบริษัทจำกัด สำนักงานใหญ่อยู่ที่เมืองเกาลูน ฮ่องกง และมีสำนักงานที่ใช้ชื่อในการค้าว่า เซเว่นโอเชี่ยน ทัวร์ คอร์ป อยู่ในเมืองเกาลูน ฮ่องกง มีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการนำเที่ยว รวมทั้งธุรกิจเกี่ยวข้องกับการนำเที่ยวทุกชนิด จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัด มีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการนำเที่ยวจำหน่ายตั๋วเครื่องบิน มีจำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการระหว่างเดือนกรกฎาคมถึงเดือนตุลาคม 2528 จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ได้ติดต่อให้โจทก์จัดหาห้องพักที่ฮ่องกงให้แก่ลูกค้าของจำเลยที่ 1 โจทก์ได้จัดหาห้องพักและออกเงินทดรองสำหรับห้องพักให้จำเลยที่ 1 ก่อน ในเดือนสิงหาคม 2528 โจทก์จัดหาที่พักและออกเงินทดรองจ่ายค่าห้องพักให้แก่ลูกค้าของจำเลยที่ 1 จำนวน 2 ครั้ง รวมเป็นเงิน 5,085 เหรียญฮ่องกง ในเดือนตุลาคม 2528 โจทก์ได้จัดหาห้องพักและออกเงินทดรองจ่ายค่าห้องพักให้แก่ลูกค้าจำเลยที่ 1 รวมเป็นเงิน 18,130 เหรียญฮ่องกง และเมื่อเดือนกรกฎาคม 2528 จำเลยที่ 1 ยังค้างชำระหนี้เงินค่าทดรองจ่ายแก่โจทก์อยู่ 123 เหรียญฮ่องกง รวมเงินทดรองจ่ายที่โจทก์จ่ายเป็นค่าห้องพักให้แก่ลูกค้าจำเลยที่ 1 เป็นเงินทั้งสิ้น 23,338 เหรียญฮ่องกง เมื่อถึงกำหนดชำระหนี้ตามใบอินวอยซ์ จำเลยที่ 1 ไม่ชำระหนี้ให้โจทก์ โจทก์ได้ติดตามทวงถามหลายครั้งจำเลยที่ 1 เพิกเฉย เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2528 โจทก์ทวงถามทางโทรพิมพ์ ต่อมาโจทก์ได้ให้ทนายความมีหนังสือทวงถามไปยังจำเลยทั้งสองเมื่อครบกำหนดเวลาตามหนังสือทวงถามแล้ว จำเลยทั้งสองก็ไม่ชำระหนี้แก่โจทก์ การที่จำเลยที่ 1 ผิดนัดไม่ชำระหนี้แก่โจทก์ จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดในดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีในเงินที่ค้างชำระจำนวน 23,338 เหรียญฮ่องกง โดยนับแต่วันที่ 30 สิงหาคม 2528 อันเป็นวันที่จะต้องชำระหนี้ตามใบอินวอยซ์ จนถึงวันฟ้องเป็นเวลา1 ปี 11 เดือน 10 วัน เป็นค่าดอกเบี้ย 3,380.81 เหรียญฮ่องกงรวมต้นเงินและดอกเบี้ยที่ต้องชำระให้โจทก์ทั้งสิ้น 26,718.81เหรียญฮ่องกง หรือคิดเป็นเงินไทยเท่ากับ 88,172.07 บาท(คิดตามอัตราแลกเปลี่ยน ณ วันฟ้อง 1 เหรียญฮ่องกงเท่ากับ 3.30 บาท)จำเลยที่ 2 ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการไม่จำกัดความรับผิดต้องร่วมรับผิดชดใช้หนี้แก่โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระต้นเงินพร้อมดอกเบี้ยรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 26,718.81 เหรียญฮ่องกง หรือเท่ากับ88,172.07 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีในต้นเงิน 23,338 เหรียญฮ่องกง หรือ 77,015.04 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสองจะชำระเงินเสร็จ
จำเลยทั้งสองให้การว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความและฟ้องเคลือบคลุมขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันชำระต้นเงินพร้อมดอกเบี้ยรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 26,718.81 เหรียญฮ่องกงหรือเท่ากับ 88,172.07 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีในต้นเงิน 23,338 เหรียญฮ่องกง หรือ 77,015.40บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสองจะชำระเงินแก่โจทก์เสร็จ(เฉพาะดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่ 30 สิงหาคม 2528ถึงวันฟ้อง จะต้องไม่เกิน 3,380.81 เหรียญฮ่องกง) จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่าจำเลยที่ 1เป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด มีจำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองประการแรกว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ โดยจำเลยกล่าวอ้างว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะไม่บรรยายว่าจำเลยเป็นหนี้เงินทดรองอะไร และไม่บรรยายว่าโจทก์จัดหาห้องพักและจ่ายค่าห้องพักที่ไหนเห็นว่า โจทก์ได้บรรยายฟ้องว่า ระหว่างเดือนกรกฎาคมถึงเดือนตุลาคม 2528 จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ได้ติดต่อให้โจทก์จัดหาห้องพักที่ฮ่องกงให้แก่ลูกค้าของจำเลยที่ 1 โจทก์ได้จัดหาห้องพักและออกเงินทดรองสำหรับห้องพักให้ลูกค้าของจำเลยที่ 1 ในเดือนสิงหาคมและตุลาคม 2528 โดยเดือนสิงหาคม 2528 โจทก์จัดหาห้องพักและออกเงินทดรองค่าห้องพัก 2 ครั้ง เป็นเงิน 5,085 เหรียญฮ่องกง ส่วนเดือนตุลาคม 2528 โจทก์หาห้องพักและจ่ายเงินทดรองค่าห้องพักเป็นเงิน 18,130 เหรียญฮ่องกง เมื่อถึงกำหนดชำระหนี้จำเลยที่ 1 ไม่ชำระหนี้ให้โจทก์ นอกจากนั้นโจทก์ยังแนบเอกสารที่เกี่ยวข้องกับคำฟ้องดังกล่าวมาท้ายฟ้องด้วย เช่นใบอินวอยซ์ หนี้ทั้งสามรายการและหนังสือทวงถามให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ดังกล่าว เห็นได้ว่าฟ้องของโจทก์ได้บรรยายถึงสภาพแห่งข้อหาคือจำเลยที่ 1 ให้โจทก์จัดหาห้องพักให้ลูกค้าจำเลยที่ 1 และข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาคือโจทก์ได้จัดหาห้องพักและออกเงินทดรองค่าห้องพักดังกล่าวแต่จำเลยที่ 1 ไม่ชำระเงินทดรองค่าห้องพักแก่โจทก์โดยแจ้งชัดพอที่จำเลยทั้งสองจะเข้าใจแล้ว ดังจะเห็นได้จากที่จำเลยทั้งสองให้การว่าไม่เคยติดต่อให้โจทก์จัดหาห้องพักแก่ลูกค้าของจำเลยที่ 1 โจทก์ไม่เคยออกเงินทดรองค่าห้องพักให้แก่จำเลยที่ 1 และตามคำฟ้องของโจทก์ดังกล่าว เห็นได้ว่าโจทก์ได้บรรยายแล้วว่าจำเลยเป็นหนี้เงินทดรองค่าห้องพักมิใช่ไม่บรรยายว่าเป็นหนี้เงินทดรองอะไรดังที่จำเลยทั้งสองกล่าวอ้างในฎีกา ส่วนที่ฟ้องของโจทก์มีได้บรรยายว่า โจทก์จัดหาห้องพักและจ่ายค่าห้องพักที่ไหนนั้น เป็นรายละเอียดที่โจทก์สามารถนำสืบในชั้นพิจารณาได้ ฟ้องของโจทก์ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง แล้ว ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุมฎีกาของจำเลยทั้งสองในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
จำเลยทั้งสองฎีกาเป็นข้อสุดท้ายว่า ฟ้องของโจทก์ขาดอายุความโดยอ้างว่าฟ้องของโจทก์เป็นเรื่องของบุคคลผู้เป็นพ่อค้าเรียกเอาค่าที่ได้ออกเงินทดรองไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165(1)(เดิม) มีอายุความ 2 ปี เห็นว่า คดีนี้ตามคำฟ้องและข้อเท็จจริงที่ฟังได้ดังได้วินิจฉัยมาแล้ว เป็นเรื่องจำเลยที่ 1ให้โจทก์จัดหาห้องพักและทดรองจ่ายค่าห้องพักแก่ลูกค้าของจำเลยที่ 1แล้วโจทก์มาฟ้องเรียกเงินทดรองจ่ายค่าห้องพักดังกล่าว จึงเป็นเรื่องตัวแทนเรียกเงินที่ออกทดรองจ่ายไปในการจัดทำกิจการของตัวการมิใช่เป็นเรื่องโจทก์เป็นพ่อค้าเรียกเอาเงินที่ได้ออกทดรองไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165(1) (เดิม) ดังที่จำเลยทั้งสองต่อสู้ ซึ่งในกรณีเช่นนี้ไม่มีกฎหมายกำหนดอายุความไว้เป็นการเฉพาะต้องใช้อายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 164 (เดิม) นับตั้งแต่วันที่โจทก์อาจบังคับตามสิทธิเรียกร้องของโจทก์จนถึงวันฟ้องยังไม่เกิน 10 ปี ฟ้องโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในข้อนี้ชอบแล้ว”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน12,487.50 เหรียญฮ่องกง หรือเท่ากับ 41,208.75 บาท แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 30 สิงหาคม2528 ไปจนกว่าจำเลยทั้งสองจะชำระแก่โจทก์เสร็จนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share