คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 32/2534

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์มีผู้เสียหายเป็นประจักษ์พยานเบิกความยืนยันว่าจำเลยเป็นผู้ร่วมข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายด้วยคนหนึ่งกับมี ป.น.จ. และ ช. เป็นพยานพฤติเหตุแวดล้อมกรณีโดยป. เบิกความสนับสนุนว่าเมื่อ ป. ให้เสียงเพื่อให้คนร้ายหนีก็เห็นจำเลยวิ่งออกจากที่เกิดเหตุไป ขณะ ป.ช่วยสวมเสื้อผ้าให้ผู้เสียหาย ผู้เสียหายบอกว่าจำเลยเป็นคนร้าย ส่วน น.จ. และ ช. เบิกความยืนยันข้อเท็จจริงที่ว่า ในคืนนั้นหลังเกิดเหตุแล้วผู้เสียหายได้ระบุชื่อจำเลยว่าเป็นคนร้าย ประกอบกับมีบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยฟังเจือสมกับคำเบิกความของผู้เสียหายด้วย ดังนี้ฟังได้ว่าจำเลยร่วมกระทำผิดตามฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 276 วรรคสอง, 83
จำเลยให้การปฎิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 276 วรรคสองที่แก้ไขแล้ว, 83 จำคุก 15 ปี คำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดีลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 10 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า ในวันเวลาเกิดเหตุตามฟ้อง มีคนร้ายหลายคนร่วมกันฉุดนางสาวสุพาพร สีนาหอม ผู้เสียหายไปที่กระท่อมนาหลังวัดบูรพาแล้วผลัดกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง จนผู้เสียหายสลบไป ปัญหามีว่าจำเลยได้ร่วมข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายหรือไม่ เห็นว่า โจทก์มีผู้เสียหายเป็นพยานเบิกความว่า ในคืนเกิดเหตุ ขณะผู้เสียหายกับนายเหลี่ยมพากันเดินไปงานศพที่บ้านลุงของนายเหลี่ยม ในระหว่างทางพบจำเลยกับพวกอีก 6 คน ตามมา จำเลยตรงเข้าเตะนายเหลี่ยมแล้วช่วยกันฉุดผู้เสียหายไปทางหลังวัดบูรพา พาขึ้นกระท่อมนาบังคับให้นอนลง แล้วถอดเสื้อผ้าของผู้เสียหายโดยขู่ไม่ให้ขัดขืนพวกของจำเลยคนหนึ่งช่วยจับขาผู้เสียหายให้จำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายจนสำเร็จความใคร่ แล้วผลัดให้เพื่อนข่มขืนกระทำชำเราต่อจนผู้เสียหายสลบไป ผู้เสียหายรู้จักจำเลยซึ่งอยู่คนละหมู่บ้านแต่เป็นญาติกันด้วย พวกของจำเลย 6 คน มีผ้าปิดหน้าส่วนจำเลยเห็นหน้าได้ชัดเพราะไม่ปิดหน้าและอยู่ในระยะประชิดตัวผู้เสียหายยืนยันว่าจำเลยหัวโล้นเพราะเพิ่งสึกจากพระไม่นานทั้งขณะที่ถูกฉุดไปในระหว่างทาง ผู้เสียหายยังได้ขอร้องจำเลยว่าคนบ้านเดียวกันทำไมทำอย่างนี้ จำเลยตอบว่าคนบ้านเดียวกันซิถึงต้องทำอย่างนี้ หลังจากผู้เสียหายถูกนำส่งโรงพยาบาลผู้เสียหายก็ได้เล่าให้บิดาฟังว่าจำเลยเป็นคนร้าย นอกนั้นจำไม่ได้แม้ผู้เสียหายจะเบิกความตอบคำถามค้านของจำเลยว่า ความจริงจำเลยไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุในวันนั้นและจะขอแก้คำให้การในชั้นสอบสวนในตอนหลังแต่แก้ไม่ได้ เพราะสำนวนการสอบสวนถูกส่งไปให้พนักงานอัยการแล้วก็ตาม ก็น่าจะเป็นเพราะผู้เสียหายเห็นว่าจำเลยเป็นญาติกัน อาจถูกขอร้องไม่ให้เอาเรื่อง จึงได้เบิกความตอบคำถามค้านไปดังกล่าว และโจทก์มีนายประหยัด กอหาญเป็นพยานเบิกความสนับสนุนว่า ขณะดูภาพยนตร์อยู่ในงานได้ยินประกาศทางเครื่องขยายเสียงตามที่นายเหลี่ยมวิ่งมาแจ้งเหตุให้ทราบว่าผู้เสียหายถูกฉุดไปข่มขืนที่สี่แยกวัดบุณพา นายประหยัดวิ่งไปถึงกระท่อมนาได้ยินเสียงผู้หญิงร้อง นายประหยัดจึงร้องโอ้ โอ้ เพื่อให้คนร้ายหนี แล้วเห็นจำเลยกับพวกอีก 2 คน วิ่งมาจากกระท่อมนา นายประหยัดขึ้นไปบนกระท่อมนาเห็นผู้เสียหายไม่สวมเสื้อผ้านั่งอยู่ นายประหยัดช่วยสวมเสื้อผ้าให้ผู้เสียหายและถามว่าคนบ้านไหนที่มาทำ ผู้เสียหายบอกว่าจำเลย นายประหยัดรู้จักจำเลย ไม่มีเหตุที่จะแกล้งปรักปรำจำเลย ที่จำเลยนำสืบว่าเคยมีเรื่องชกต่อยกับนายประหยัดนั้น นอกจากจำเลยจะมิได้ถามค้านนายประหยัดว่าเคยมีเรื่องชกต่อยกับจำเลยหรือไม่แล้วเพียงสาเหตุดังกล่าวยังไม่พอฟังว่านายประหยัดจะแกล้งปรักปรำว่าได้เห็นจำเลยวิ่งมาจากกระท่อมที่เกิดเหตุ ทั้งโจทก์มีนายหนู สีนาหอม บิดาผู้เสียหาย นายหนูจันทร์ ภักดีโชติผู้ใหญ่บ้าน และร้อยตำรวจตรีชูฉัตร ธารีฉัตร พนักงานสอบสวนเป็นพยานเบิกความว่า ในคืนเกิดเหตุขณะผู้เสียหายรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล นางพยาบาลได้ถามผู้เสียหายต่อหน้านายหนูว่าจำคนร้ายได้ไหม ผู้เสียหายว่าจำได้ เป็นคนหัวโล้น ชื่อนายตุยซึ่งเป็นชื่อของจำเลย นายหนูจึงไปแจ้งเจ้าพนักงานตำรวจว่าจำเลยเป็นคนร้าย ร้อยตำรวจตรีชูฉัตรตามไปที่บ้านผู้เสียหายในคืนนั้นและถามถึงชื่อคนร้าย ผู้เสียหายก็ระบุชื่อจำเลยร้องตำรวจตรีชูฉัตรให้ผู้ใหญ่บ้านไปตามจำเลย พอจำเลยมาถึงผู้เสียหายก็ยืนยันเหมือนเดิม ร้อยตำรวจตรีชูฉัตรได้ไปตรวจสถานที่เกิดเหตุในคืนนั้นเอง ยืนยันว่าบริเวณที่เกิดเหตุที่ผู้เสียหายถูกฉุดสามารถมองเห็นกันได้ เพราะมีแสงไฟจากบ้านแถวนั้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งในชั้นสอบสวนจำเลยก็ให้การรับว่าจำเลยเห็นชายคนหนึ่งขึ้นไปบนกระท่อมนาจำเลยช่วยจับขาหญิงให้ชายคนนั้นข่มขืนกระทำชำเรา เสร็จแล้วขณะจำเลยจะข่มขืนกระทำชำเราต่อก็ได้ยินเสียงคนร้อง จำเลยจึงวิ่งหนี ดังปรากฏตามบันทึกคำให้การเอกสารหมาย จ.6 เป็นการเจือสมคำเบิกความของผู้เสียหาย ที่จำเลยอ้างว่าเหตุที่ต้องให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนซึ่งไม่ตรงกับความจริงดังกล่าว เพราะนายทองซึ่งเป็นผู้กระทำความผิดได้บอกให้จำเลยรับสารภาพ แล้วนายทองจะออกค่าใช้จ่ายในการสู้คดีให้ข้ออ้างของจำเลยนี้ไม่สมเหตุสมผล เพราะหากจำเลยมิได้กระทำผิดจริงก็ไม่น่าจะยอมรับสารภาพ โอกาสสู้คดีให้ชนะย่อมมีมากกว่าข้อนำสืบอ้างฐานที่อยู่ของจำเลยไม่มีน้ำหนัก ไม่อาจหักล้างพยานโจทก์ คดีฟังได้ว่าจำเลยได้กระทำความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง”
พิพากษายืน

Share