แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการฯ มาตรา 20 วรรคสาม บัญญัติว่าทรัพย์สินที่คณะกรรมการ ป.ป.ป. วินิจฉัยว่าเป็นทรัพย์สินที่ร่ำรวยขึ้นโดยผิดปกตินั้น ให้พนักงานอัยการยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อให้วินิจฉัยว่าทรัพย์สินเป็นของแผ่นดิน เห็นได้ว่า หากจะลงโทษทางวินัยคณะกรรมการ ป.ป.ป. จะต้องสอบสวนให้ได้ความว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐเป็นผู้ร่ำรวยผิดปกติ แต่จะขอให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สินของผู้นั้นเป็นของแผ่นดินได้เฉพาะที่คณะกรรมการ ป.ป.ป. วินิจฉัยว่าเป็นทรัพย์สินที่ร่ำรวยขึ้นโดยผิดปกติเท่านั้น หาใช่ว่า เมื่อคณะกรรมการฯลงมติว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ใดเป็นผู้ร่ำรวยผิดปกติแล้วศาลจะต้องสั่งให้ทรัพย์สินของผู้นั้นเป็นของแผ่นดินไม่การแปลกฎหมายดังนั้นเท่ากับเป็นการห้ามมิให้ศาลตรวจสอบการใช้อำนาจของคณะกรรมการฯอันเป็นองค์กรฝ่ายบริหาร ย่อมไม่เป็นการสอดคล้องกับการปกครองระบอบประชาธิปไตยของประเทศไทย และหากฟังไม่ได้ว่าเป็นทรัพย์สินที่ร่ำรวยขึ้นโดยผิดปกติแล้วศาลก็ไม่อาจสั่งให้ทรัพย์สินนั้นเป็นของแผ่นดินได้โดยเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้เป็นเจ้าของทรัพย์สินนั้นหาต้องพิสูจน์ว่าได้ทรัพย์สินในทางที่ชอบไม่ ทรัพย์สินที่ร่ำรวยขึ้นโดยผิดปกตินั้น หมายถึงทรัพย์สินที่มีจำนวนมากผิดปกติเมื่อคำนึงถึงฐานะและรายได้ของเจ้าหน้าที่ของรัฐเจ้าของทรัพย์สินนั้น ซึ่งอาจได้มาในทางที่ชอบและไม่ชอบหรือทั้งสองอย่างรวมกันศาลจะสั่งให้เป็นของแผ่นดินได้เฉพาะทรัพย์สินที่ได้มาในทางที่ไม่ชอบการสั่งว่าทรัพย์สินใดเป็นทรัพย์ที่ร่ำรวยขึ้นโดยผิดปกติหรือไม่ จึงมิใช่พิจารณา จากเหตุที่ทรัพย์สินนั้นได้มาในทางที่ชอบ หรือมิชอบแต่อย่างใด ผู้ร้องอ้างว่าผู้คัดค้านได้รับโอนหุ้นของบริษัทการบิน อ.198,000 หุ้น มีมูลค่าตามที่จดทะเบียนไว้หุ้นละ 100 บาทถือว่าผู้คัดค้านมีทรัพย์สินราคา 19,800,000 บาทอันเป็นทรัพย์สินที่ผู้คัดค้านร่ำรวยขึ้นโดยผิดปกติผู้คัดค้านโต้แย้งว่าขณะรับโอนหุ้นมา หุ้นไม่มีมูลค่ามีราคาไม่เกิน 2 บาทดังนี้ เมื่อพยานหลักฐานของผู้คัดค้านฟังได้ว่าหุ้นดังกล่าวไม่มีราคาตามมูลค่าหุ้นที่จดทะเบียนไว้ แต่จะมีราคาเท่าใดผู้ร้องไม่นำสืบให้ปรากฏกรณีจึงไม่อาจฟังได้ว่าหุ้นดังกล่าวเป็นทรัพย์สินที่ร่ำรวยขึ้นโดยผิดปกติดังที่ผู้ร้องกล่าวอ้าง ศาลไม่อาจสั่งให้ทรัพย์สินของผู้คัดค้านเป็นของแผ่นดินได้
ย่อยาว
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ทรัพย์สิน 3 รายการ เป็นเงิน26,864,120.89 บาท ตกเป็นของแผ่นดินเป็นเงิน 19,436,470.02 บาท โดยให้ทรัพย์แต่ละรายการตกเป็นของแผ่นดินในอัตราส่วน19,436,470.02 ส่วนต่อทรัพย์สินของผู้คัดค้านทั้งหมด26,864,120.89 ส่วน โดยให้ผู้คัดค้านโอนเงินฝากในบัญชีธนาคารจดทะเบียนโอนและส่งมอบที่ดิน กับให้ผู้คัดค้านโอน จดแจ้งการโอนและส่งมอบใบหุ้นของบริษัทรวม 11 บริษัทให้แก่กระทรวงการคลังถ้าผู้คัดค้านไม่ปฏิบัติ ให้ถือคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของผู้คัดค้าน และให้ผู้คัดค้านใช้เงินแทน ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกคำร้องของผู้ร้อง ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่คู่ความทั้งสองฝ่ายนำสืบรับกันว่า ผู้คัดค้านเริ่มรับราชการที่กองงบประมาณ กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง เมื่อพ.ศ. 2484ต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2502 ทางราชการได้ยกฐานะกองงบประมาณกรมบัญชีกลาง ขึ้นเป็นสำนักงบประมาณ และให้ไปสังกัดต่อสำนักนายกรัฐมนตรี ผู้คัดค้านก็ยังคงรับราชการอยู่ที่สำนักงบประมาณเรื่อยมา ปี พ.ศ. 2504 ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นรองผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ รับราชการในตำแหน่งนี้มาจนถึง พ.ศ. 2517จึงได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ ผู้คัดค้านเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ พ.ศ. 2518เมื่อเดือนตุลาคม 2519 ได้มีผู้ทำบัตรสนเท่ห์ร้องเรียนต่อคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน กล่าวหาว่าผู้คัดค้านและนายเมตตา พุ่มชูศรี ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงบประมาณในขณะนั้นใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่โดยไม่ชอบ กระทำผิดวินัยและร่ำรวยผิดปกติ คณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินได้ทำการสอบสวนเบื้องต้นแล้ว เชื่อว่าคำร้องเรียนตามบัตรสนเท่ห์มีมูลจึงมีคำสั่งพักราชการผู้คัดค้านกับนายเมตตา พุ่มชูศรี เมื่อวันที่22 ตุลาคม 2519 และได้ส่งเรื่องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ(คณะกรรมการ ป.ป.ป.) ดำเนินการ คณะกรรมการ ป.ป.ป.ได้พิจารณาหลักฐานต่าง ๆ แล้วเห็นว่า มีพฤติการณ์เชื่อได้ว่าผู้คัดค้านและนายเมตตา พุ่มชูศรี ร่ำรวยผิดปกติ จึงมีมติให้ดำเนินการตามมาตรา 20 แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ พ.ศ. 2518 โดยแจ้งให้บุคคลทั้งสองยื่นแบบแสดงรายการสินทรัพย์และหนี้สินที่มีอยู่ระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2510 ถึงวันที่ 27 ธันวาคม 2519ซึ่งเป็นวันยื่นแบบแสดงรายการสินทรัพย์และหนี้สินต่อคณะกรรมการป.ป.ป. กับได้แต่งตั้งอนุกรรมการเฉพาะกิจขึ้นทำหน้าที่สืบสวนสอบสวนรวบรวมข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานเสนอต่อคณะกรรมการ ป.ป.ป.คณะอนุกรรมการเฉพาะกิจทำการสืบสวนและสอบสวนเรื่อยมาจนถึง พ.ศ. 2521 จึงได้รายงานให้คณะกรรมการ ป.ป.ป. ทราบคณะกรรมการ ป.ป.ป. ประชุมพิจารณาแล้ว มีมติด้วยคะแนนเสียงเกินกว่าสองในสามว่าผู้คัดค้านผิดวินัยและร่ำรวยผิดปกติ ส่วนนายเมตตา พุ่มชูศรี นั้น คณะกรรมการ ป.ป.ป. มีความเห็นว่าผิดวินัย แต่ยังฟังไม่ได้ว่าร่ำรวยผิดปกติจึงส่งเรื่องให้ทางสำนักนายกรัฐมนตรีดำเนินการสอบสวนทางวินัยแก่บุคคลทั้งสองและส่งเรื่องให้พนักงานอัยการผู้ร้องยื่นคำร้องต่อศาลขอให้วินิจฉัยสั่งว่าทรัพย์สินของผู้คัดค้านเป็นของแผ่นดินเป็นคดีนี้สำหรับความผิดทางวินัยนั้น ต่อมาผู้คัดค้านและนายเมตตา พุ่มชูศรีถูกตั้งกรรมการสอบสวนคณะกรรมการสอบสวนแล้วเห็นว่าผู้คัดค้านไม่ได้กระทำผิดวินัย และทางราชการได้สั่งให้ผู้คัดค้านกลับเข้ารับราชการตามเดิมจนเกษียณอายุไปเมื่อ พ.ศ. 2525 ส่วนนายเมตตา พุ่มชูศรี คณะกรรมการสอบสวนเห็นว่ากระทำผิดวินัยแต่ถูกลงโทษภาคทัณฑ์และกลับเข้ารับราชการจนกระทั่งบัดนี้ข้อเท็จจริงยังฟังได้ต่อไปอีกว่าผู้คัดค้านได้รับโอนหุ้นจากบริษัทการบินแอร์-สยาม จำกัด เป็นจำนวน 148,000 หุ้น หุ้นมีมูลค่าตามที่จดทะเบียนหุ้นละ 100 บาท ต่อมาบริษัทการบินแอร์-สยามจำกัด ถูกศาลพิพากษาล้มละลายแล้ว
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยในชั้นนี้ตามฎีกาของผู้ร้องว่าผู้คัดค้านร่ำรวยขึ้นโดยผิดปกติ ตามความของมาตรา 20 แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการพ.ศ. 2518 อันศาลจะต้องสั่งให้ทรัพย์สินของผู้คัดค้านเป็นของแผ่นดินหรือไม่ ในปัญหานี้ผู้ร้องฎีกาขึ้นมาประการแรกเป็นข้อกฎหมายว่า ตามบทบัญญัติดังกล่าวนั้น เมื่อคณะกรรมการป.ป.ป. ได้ลงมติโดยคะแนนเสียงตามที่กฎหมายกำหนดไว้ว่าผู้คัดค้านเป็นผู้ร่ำรวยผิดปกติแล้ว กรณีต้องฟังเป็นยุติตามมติของคณะกรรมการ ป.ป.ป. ศาลจะต้องวินิจฉัยสั่งให้ทรัพย์สินของผู้คัดค้านเป็นของแผ่นดิน เว้นแต่ผู้คัดค้านจะพิสูจน์ได้ว่าได้ทรัพย์สินมาในทางที่ชอบ ฉะนั้น ศาลอุทธรณ์จะพิพากษาว่าผู้คัดค้านมิได้ร่ำรวยผิดปกติไม่ได้ เป็นการไม่ชอบด้วยข้อกฎหมายดังกล่าวศาลฎีกาพิเคราะห์ฎีกาของผู้ร้องในข้อนี้แล้วเห็นว่ามาตรา 20แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ พ.ศ. 2518 ได้กำหนดมาตรการลงโทษเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ร่ำรวยผิดปกติไว้ 2 ประการ คือการลงโทษทางวินัยประการหนึ่ง และการให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สินเป็นของแผ่นดินอีกประการหนึ่ง เมื่อคณะกรรมการ ป.ป.ป.สอบสวนได้ความว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ใดร่ำรวยผิดปกติและผู้นั้นไม่สามารถแสดงว่าร่ำรวยขึ้นในทางที่ชอบ มาตรา 20 วรรคแรก ให้ถือว่าผู้นั้นใช้อำนาจในทางมิชอบ ให้คณะกรรมการ ป.ป.ป. รายงานความเห็นต่อนายกรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาสั่งลงโทษไล่ออกซึ่งเป็นการลงโทษทางวินัย แต่ถ้าจะให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สินของผู้นั้นเป็นของแผ่นดิน มาตรา 20 วรรคสาม บัญญัติว่าทรัพย์สินที่คณะกรรมการ ป.ป.ป.วินิจฉัยว่าเป็นทรัพย์สินที่ร่ำรวยขึ้นโดยผิดปกตินั้น ให้พนักงานอัยการยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อให้วินิจฉัยว่าทรัพย์สินเป็นของแผ่นดิน จะเห็นได้ว่าหากจะลงโทษทางวินัยคณะกรรมการ ป.ป.ป.จะต้องสอบสวนให้ได้ความว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐเป็นผู้ร่ำรวยผิดปกติ แต่จะขอให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สินของผู้นั้นเป็นของแผ่นดินได้เฉพาะที่คณะกรรมการ ป.ป.ป.วินิจฉัยว่าเป็นทรัพย์สินที่ร่ำรวยขึ้นโดยผิดปกติเท่านั้น หาใช่ว่าเมื่อคณะกรรมการ ป.ป.ป. ลงมติว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ใดเป็นผู้ร่ำรวยผิดปกติแล้ว ศาลจะต้องสั่งให้ทรัพย์สินของผู้คัดค้านเป็นของแผ่นดินดังที่ผู้ร้องฎีกาไม่ นอกจากนั้นบทบัญญัติดังกล่าวนั้นก็มิได้มีความหมายว่าคำวินิจฉัยของคณะกรรมการ ป.ป.ป.ที่ว่าทรัพย์สินใดเป็นทรัพย์สินที่ร่ำรวยขึ้นโดยผิดปกติเป็นที่สุดหรือเป็นยุติ อันศาลจะวินิจฉัยเป็นอย่างอื่นไม่ได้ เพราะนอกจากบทบัญญัติดังกล่าวไม่มีถ้อยคำให้แปลความหมายเช่นนั้นแล้วมาตรา 20 วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวกลับบัญญัติว่า”บรรดาทรัพย์สินที่คณะกรรมการวินิจฉัยว่าเป็นทรัพย์สินที่ร่ำรวยขึ้นโดยผิดปกตินั้น ให้พนักงานอัยการยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อให้ศาลวินิจฉัยสั่งว่าทรัพย์สินนั้นเป็นของแผ่นดิน เว้นแต่ผู้นั้นจะแสดงให้ศาลเห็นว่าตนได้ทรัพย์สินนั้นมาในทางที่ชอบ” ถ้อยคำในบทบัญญัติดังกล่าวที่ว่า ให้ศาลวินิจฉัยสั่ง” นั้น แสดงว่าให้ศาลเป็นผู้วินิจฉัยเสียก่อนที่จะมีคำสั่งมิใช่ว่าให้ศาลสั่งไปตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการ ป.ป.ป.โดยศาลไม่มีอำนาจวินิจฉัยว่าทรัพย์สินนั้นเป็นทรัพย์สินที่ร่ำรวยขึ้นโดยผิดปกติหรือไม่การแปลกฎหมายดังนั้นเท่ากับเป็นการห้ามมิให้ศาลตรวจสอบการใช้อำนาจของคณะกรรมการ ป.ป.ป. ซึ่งเป็นองค์กรฝ่ายบริหาร ย่อมไม่เป็นการสอดคล้องกับการปกครองระบอบประชาธิปไตยของประเทศไทยฎีกาของผู้ร้องในข้อนี้จึงฟังไม่ขึ้น ศาลฎีกายังเห็นต่อไปอีกว่าตามบทบัญญัติดังกล่าวนั้นศาลจะสั่งให้ทรัพย์สินของเจ้าหน้าที่ของรัฐเป็นของแผ่นดินได้ ก็ต่อเมื่อทรัพย์สินนั้นเป็นทรัพย์สินที่ร่ำรวยขึ้นโดยผิดปกติ และเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้นั้นไม่อาจพิสูจน์ให้ศาลเห็นว่าได้ทรัพย์สินนั้นในทางที่ชอบเท่านั้น หากฟังไม่ได้ว่าทรัพย์สินนั้นเป็นทรัพย์สินที่ร่ำรวยขึ้นโดยผิดปกติเสียแต่ในเบื้องแรกแล้วศาลก็ไม่อาจสั่งให้ทรัพย์สินนั้นเป็นของแผ่นดินได้โดยเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้เป็นเจ้าของทรัพย์สินนั้นหาต้องพิสูจน์ว่าได้ทรัพย์สินนั้นมาในทางที่ชอบไม่ทรัพย์สินที่ร่ำรวยขึ้นโดยผิดปกตินั้นย่อมหมายถึงทรัพย์สินที่มีจำนวนมากผิดปกติเมื่อคำนึงถึงฐานะและรายได้ของเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้เป็นเจ้าของทรัพย์สินนั่นเอง ทรัพย์สินที่ร่ำรวยขึ้นโดยผิดปกติจึงอาจเป็นทรัพย์สินที่ได้มาในทางที่ชอบหรือได้มาในทางที่ไม่ชอบหรือทั้งสองอย่างรวมกันก็ได้ ถ้าได้มาในทางที่ชอบศาลก็ไม่อาจสั่งให้เป็นของแผ่นดิน คงสั่งได้แต่เฉพาะทรัพย์สินที่ได้มาในทางที่ไม่ชอบ การที่จะสั่งว่าทรัพย์สินใดเป็นทรัพย์สินที่ร่ำรวยขึ้นโดยผิดปกติหรือไม่ จึงหาใช่เพราะเหตุที่ทรัพย์สินนั้นได้มาในทางที่ชอบหรือมิชอบแต่อย่างใดไม่ฉะนั้น ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าผู้คัดค้านได้ทรัพย์สินมาโดยชอบมีจำนวนมากกว่าทรัพย์สินทั้งหมดของผู้คัดค้าน จึงฟังว่าผู้คัดค้านร่ำรวยผิดปกติไม่ได้นั้น จึงเป็นการไม่ถูกต้อง
สำหรับปัญหาข้อเท็จจริงที่ว่าผู้คัดค้านร่ำรวยผิดปกติหรือไม่นั้นผู้ร้องฎีกาโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ขึ้นมาเฉพาะทรัพย์สินของผู้คัดค้านส่วนที่เป็นหุ้นบริษัทการบินแอร์-สยาม จำกัดซึ่งเป็นทรัพย์สินส่วนใหญ่ของผู้คัดค้านเท่านั้น ผู้ร้องมิได้ฎีกาเกี่ยวกับทรัพย์สินอื่นของผู้คัดค้านขึ้นมาโดยแจ้งชัด จึงต้องถือว่าคดีมีประเด็นในชั้นนี้เฉพาะหุ้นของบริษัทการบินแอร์-สยาม จำกัดเท่านั้นว่า หุ้นดังกล่าวจะถือว่าเป็นทรัพย์สินที่ผู้คัดค้านร่ำรวยขึ้นโดยผิดปกติหรือไม่ ส่วนทรัพย์สินอื่นไม่มีประเด็นขึ้นมาสู่ศาลฎีกา ศาลฎีกาได้พิเคราะห์ปัญหาข้อนี้แล้วเห็นว่าที่ผู้ร้องถือว่าผู้คัดค้านร่ำรวยผิดปกติ ก็เพราะผู้คัดค้านได้รับโอนหุ้นดังกล่าวซึ่งมีมูลค่าตามที่จดทะเบียนไว้หุ้นละ 100 บาท จำนวน 198,000 หุ้นจึงถือว่าผู้คัดค้านมีทรัพย์สินราคา 19,800,000 บาท ตามมูลค่าหุ้นที่จดทะเบียนไว้ หากหุ้นดังกล่าวมีราคาถึง 19,800,000 บาทจริงเมื่อเปรียบเทียบกับรายได้ที่ผู้คัดค้านได้รับจากทางราชการและจากที่อื่น ๆ ระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2510 ถึงวันที่27 ธันวาคม 2519 ซึ่งผู้คัดค้านยอมรับตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยมาว่าเป็นจำนวนเพียง 7 ล้านบาทเศษแล้ว ก็คงจะต้องถือว่าหุ้นดังกล่าวเป็นทรัพย์สินที่ร่ำรวยขึ้นโดยผิดปกติอันศาลอาจจะสั่งให้เป็นของแผ่นดินได้ แต่ผู้คัดค้านได้โต้แย้งในเรื่องราคาหุ้นนี้มาแต่ต้นว่าหุ้นทั้งหมดไม่มีมูลค่า มีราคาไม่เกิน 2 บาท เพราะขณะที่ผู้คัดค้านรับโอนหุ้นมา บริษัทการบินแอร์-สยาม จำกัด มีหนี้สินล้นพ้นตัว นอกจากนั้นศาลฎีกายังเห็นว่า มูลค่าของหุ้นตามที่จดทะเบียนไว้กับราคาของหุ้นที่ซื้อขายกันหาจำเป็นต้องตรงกันไม่ราคาหุ้นที่แท้จริงอาจสูงหรือต่ำกว่ามูลค่าของหุ้นที่จดทะเบียนไว้ก็ได้ ปัญหาจึงอยู่ที่ว่าหุ้นดังกล่าวมีค่าหรือราคาดังที่ผู้ร้องกล่าวอ้างหรือไม่ ผู้คัดค้านโต้แย้งในเรื่องนี้มาในคำคัดค้านแต่ผู้ร้องหาได้นำสืบว่าหุ้นดังกล่าวมีราคาที่แท้จริงอย่างใดไม่ ซ้ำเรืออากาศโทโศภณ สุวรรณะรุจิ พยานโจทก์ ซึ่งเป็นอนุกรรมการและเลขานุการของคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจที่ประธานกรรมการ ป.ป.ป. ตั้งขึ้นเพื่อสืบสวนสอบสวนผู้คัดค้านก็ได้เบิกความว่า ในชั้นอนุกรรมการถือว่าหุ้นดังกล่าวมีมูลค่าเพียง1 บาทตามที่ผู้คัดค้านแสดงไว้มิได้ถือตามมูลค่าที่จดทะเบียนไว้ถึง19 ล้านบาท ฝ่ายผู้คัดค้านได้นำสืบว่าบริษัทการบินแอร์-สยาม จำกัดดำเนินการขาดทุนถึง 120 ล้านบาทพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าหญิงสุทธิสิริโสภาผู้ถือหุ้นของบริษัทจึงได้ขอให้ผู้คัดค้านเข้าไปช่วยเหลือกิจการของบริษัท โดยโอนหุ้นดังกล่าวให้ผู้คัดค้าน ผู้คัดค้านไม่ได้จ่ายเงินค่าหุ้นแต่อย่างใดผู้คัดค้านได้เข้าไปช่วยปรับปรุงกิจการของบริษัท ช่วยหาเงินทุนเป็นผู้ค้ำประกันหนี้สินและช่วยเจรจาลดหนี้ให้ แต่ผลที่สุดทางการไม่ต่อใบอนุญาตให้บริษัทดำเนินการต่อไป และบริษัทถูกศาลพิพากษาให้ล้มละลาย นอกจากนั้นนายกฤช สมบัติสิริ ซึ่งเป็นประธานกรรมการสอบสวนพิจารณารับผู้คัดค้านเข้ารับราชการใหม่ตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรี ก็ได้เบิกความเป็นพยานผู้คัดค้านว่าคณะกรรมการได้พิจารณาเห็นว่าบริษัทการบินแอร์-สยาม จำกัดมีหนี้สินมากอยู่ในฐานะจะล้มละลาย หุ้นที่ผู้คัดค้านถืออยู่ว่าไม่มีราคาเลย ศาลฎีกาพิเคราะห์พยานหลักฐานของผู้ร้องและผู้คัดค้านในเรื่องนี้แล้วเห็นว่า พยานหลักฐานของผู้คัดค้านฟังได้ว่าหุ้นดังกล่าวไม่มีราคาตามมูลค่าที่จดทะเบียนไว้ แต่จะมีราคาเท่าใดนั้นเมื่อผู้ร้องไม่นำสืบให้ปรากฏ ก็ไม่อาจฟังได้ว่าเป็นทรัพย์สินที่ร่ำรวยขึ้นโดยผิดปกติดังที่ผู้ร้องกล่าวอ้าง เมื่อเป็นดังนี้ศาลก็ไม่อาจสั่งให้ทรัพย์สินของผู้คัดค้านเป็นของแผ่นดินได้ จึงไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยต่อไปว่าผู้คัดค้านได้หุ้นดังกล่าวมาในทางที่ชอบหรือไม่และข้อโต้แย้งของผู้คัดค้านในคำแก้ฎีกาฟังขึ้นหรือไม่ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำร้องของผู้ร้องมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ