คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5491/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สัญญาระงับข้อพิพาทมีข้อตกลงว่า โจทก์กับจำเลยที่ 1ตกลงระงับข้อพิพาทที่เกิดจากการเช่าห้อง โดยจำเลยที่ 1ยินยอมขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากห้องเช่าและโจทก์ตกลงจ่ายค่าตอบแทนการขนย้ายให้แก่จำเลยที่ 1 สัญญาดังกล่าวเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ ผลของสัญญาประนีประนอมยอมความทำให้การเรียกร้องตามสัญญาเช่าห้องซึ่งแต่ละฝ่ายได้ยอมสละนั้นระงับสิ้นไป สัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ทำขึ้นระหว่างการสืบพยานจำเลยหลังจากโจทก์ฟ้องและจำเลยยื่นคำให้การแล้วเป็นการสุดวิสัยที่จำเลยจะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ในคำให้การได้แม้ไม่มีการกำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทไว้ แต่เมื่อคู่ความยอมรับว่าได้มีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันจริง โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องโดยอาศัยสัญญาเช่าดังกล่าว ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องแม้มิได้เป็นประเด็นแห่งคดี แต่เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ สัญญาตกลงระงับข้อพิพาทไม่ได้เป็นประเด็นแห่งคดีมาแต่ต้นจำเลยจึงไม่ต้องยื่นบัญชีระบุอ้างพยานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87(2) และมาตรา 88เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ศาลมีอำนาจรับฟังได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87(2) จำเลยทั้งหมดเป็นลูกหนี้ร่วมและหนี้อันเกิดจากมูลละเมิดเป็นหนี้ร่วมการที่จำเลยที่ 1 ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์ทำให้สิทธิเรียกร้องของโจทก์ที่มีต่อจำเลยที่ 1 ระงับจำเลยอื่นย่อมได้รับประโยชน์คือหลุดพ้นจากหนี้ด้วย

ย่อยาว

คดีสองสำนวนศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษารวมกัน
สำนวนคดีแรกโจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ทำสัญญาเช่าห้องเลขที่ 409 ของโจทก์ ต่อมาจำเลยที่ 1 ยินยอมให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 8 เข้าอยู่ในห้องเช่าร่วมกัน ต่อมาจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาครบกำหนดสัญญาเช่าแล้ว ขอให้บังคับจำเลยทั้งแปดออกจากห้องเช่าและใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
สำนวนคดีหลังโจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า ผู้มีชื่อซึ่งเป็นหุ้นส่วนของจำเลยที่ 1 เช่าห้องเลขที่ 411 และ 413 จากโจทก์ จำเลยทั้งเจ็ดเข้าอยู่ในห้องเช่าครบกำหนดสัญญาเช่าแล้วจำเลยทั้งเจ็ดไม่ยอมออก ขอให้บังคับจำเลยทั้งเจ็ดออกจากห้องเช่าและใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
สำนวนคดีแรกจำเลยทั้งแปดให้การว่า จำเลยที่ 2 ถึงที่ 8ไม่เคยทำสัญญาเช่ากับโจทก์และไม่ได้อยู่ในห้องเช่า จำเลยที่ 1ไม่ได้ผิดสัญญาครบกำหนดสัญญาแล้วโจทก์ยังคงรับค่าเช่าอยู่ถือว่ามีการตกลงทำสัญญาเช่ากันใหม่โดยไม่มีกำหนดระยะเวลาโจทก์ไม่ได้บอกกล่าวก่อนฟ้อง โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องและฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
คดีสำนวนหลังจำเลยทั้งเจ็ดให้การว่า จำเลยทั้งเจ็ดไม่เคยทำสัญญาเช่ากับโจทก์ จำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 ไม่เคยอยู่ในห้องเช่าโจทก์ไม่ได้บอกกล่าวก่อนฟ้อง โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง โจทก์ไม่เสียหาย และฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสองสำนวนอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ทั้งสองสำนวนฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า ระหว่างสืบพยานจำเลยทั้งแปด โจทก์และจำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาตกลงระงับข้อพิพาทระหว่างกัน
สัญญาระงับข้อพิพาทมีข้อตกลงว่า โจทก์กับจำเลยที่ 1ตกลงระงับข้อพิพาทที่เกิดจากการเช่าห้อง โดยจำเลยที่ 1 ยินยอมขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากห้องเช่า และโจทก์ตกลงจ่ายค่าตอบแทนการขนย้ายให้แก่จำเลยที่ 1 สัญญาดังกล่าวเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850 ผลของสัญญาประนีประนอมยอมความทำให้การเรียกร้องตามสัญญาเช่าห้องซึ่งแต่ละฝ่ายได้ยอมสละนั้นระงับสิ้นไป และทำให้แต่ละฝ่ายได้สิทธิตามที่ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 852
ปัญหาว่า คำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์นอกฟ้องนอกประเด็นหรือไม่ เพราะประเด็นว่าสิทธิเรียกร้องอันเกิดแต่มูลละเมิดตามฟ้องได้ระงับไปตามสัญญาตกลงระงับข้อพิพาทไม่ได้อยู่ในประเด็นที่ศาลชั้นต้นได้ชี้สองสถานไว้เห็นว่า สัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ทำขึ้นระหว่างการสืบพยานจำเลย หลังจากโจทก์ฟ้องและจำเลยยื่นคำให้การแล้วเป็นการสุดวิสัยที่จำเลยจะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ในคำให้การได้แต่เมื่อคู่ความยอมรับว่าได้มีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันจริง โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องโดยอาศัยสัญญาเช่าดังกล่าวปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องแม้มิได้เป็นประเด็นแห่งคดี แต่เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5)
ปัญหาว่า ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์รับฟังสัญญาตกลงระงับข้อพิพาทและบันทึกการส่งมอบห้องเช่า เป็นการรับฟังพยานหลักฐานโดยผิดกฎหมายหรือไม่ เพราะมิได้ระบุอ้างพยานไว้ และไม่มีการส่งสำเนาเอกสารให้คู่ความอีกฝ่ายหนึ่ง เห็นว่า สัญญาตกลงระงับข้อพิพาทไม่ได้เป็นประเด็นแห่งคดีมาแต่ต้น จำเลยจึงไม่ต้องยื่นบัญชีระบุอ้างพยานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 87(2) และมาตรา 88 แต่สัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวปรากฏขึ้นต่อศาลโดยคำแถลงของทนายจำเลยและพยานโจทก์ได้แถลงยอมรับ แต่อย่างไรก็ตามเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม จำเป็นต้องสืบพยานหลักฐานอันสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดีโดยฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติ มาตรา 88 และ 90 ศาลมีอำนาจรับฟังได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87(2)
ปัญหาว่า สัญญาระงับข้อพิพาทเลิกกันแล้วหรือไม่ ฟังข้อเท็จจริงว่าสัญญายังไม่เลิกกัน
ปัญหาว่า จำเลยที่ 2 ถึงที่ 8 ทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ฟังข้อเท็จจริงว่า เมื่อสัญญาเช่าสิ้นสุดลงแล้ว จำเลยทั้งหมดยังอยู่ในห้องเช่าโดยไม่มีสิทธิเป็นการละเมิดต่อโจทก์ จำเลยทั้งหมดเป็นลูกหนี้ร่วมและหนี้อันเกิดจากมูลละเมิดเป็นหนี้ร่วมการที่จำเลยที่ 1 ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์ทำให้สิทธิเรียกร้องของโจทก์ที่มีต่อจำเลยที่ 1 ระงับ จำเลยอื่นย่อมได้รับประโยชน์คือหลุดพ้นจากหนี้ด้วย
พิพากษายืน

Share