แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งในฐานะผู้จัดการมรดกของ จ. และในฐานะผู้ค้ำประกันให้รับผิดชำระหนี้ที่ จ. เป็นหนี้โจทก์ กรณีต้องแยกวินิจฉัยความรับผิดของจำเลยในแต่ละฐานะ สำหรับความรับผิดของจำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกนั้น เมื่อจำเลยลงชื่อรับสภาพหนี้ในสัญญารับสภาพหนี้ในฐานะทายาทผู้รับมรดกของ จ. จึงมีผลทำให้อายุความสะดุดหยุดลงเฉพาะในส่วนมรดกของ จ. ที่ตกได้แก่จำเลยเท่านั้น สำหรับมรดกส่วนอื่นเมื่อโจทก์ฟ้องคดีเกินกว่า 1 ปี นับแต่จ. ถึงแก่ความตาย คดีจึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1754 ส่วนการรับสภาพหนี้ของจำเลยในฐานะผู้ค้ำประกันนั้นอายุความย่อมสะดุดหยุดลง ต้องเริ่มนับอายุความขึ้นใหม่ตามอายุความแห่งมูลหนี้เดิม จำเลยไม่อาจยกข้อต่อสู้ของกองมรดกของ จ.ซึ่งเป็นลูกหนี้โจทก์ในเรื่องอายุความมรดกขึ้นต่อสู้โจทก์ได้อีก
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า นายจารึก พิทักษ์เผ่า ได้ทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์ จำเลยที่ 2 ได้ทำสัญญาค้ำประกันการเบิกเงินเกินบัญชีของนายจารึกต่อโจทก์ ยอมรับผิดร่วมกับนายจารึกในอันที่จะต้องชำระหนี้ตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชี และเพื่อเป็นประกันในการชำระหนี้ นายจารึกและจำเลยที่ 2 ได้จดทะเบียนจำนองที่ดินไว้แก่โจทก์ต่อมานายจารึกได้ถึงแก่ความตาย จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายจารึกและในฐานะผู้ค้ำประกันได้ทำสัญญารับสภาพหนี้เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2527 ยอมรับว่านายจารึกเป็นหนี้เบิกเงินเกินบัญชียอดหนี้คิดถึงวันดังกล่าวเป็นจำนวนเงิน 4,143,043.43 บาท และยินยอมรับผิดชดใช้หนี้ดังกล่าว พร้อมดอกเบี้ย จำเลยทั้งสองผิดนัดชำระหนี้ โจทก์จึงทวงถามและบอกเลิกสัญญา บอกกล่าวบังคับจำนอง ขอให้บังคับ จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 6,497,624.75 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากต้นเงิน 6,481,642.62 บาท นับตั้งแต่วันที่ 24 กรกฎาคม 2530 จนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์เป็นการชำระหนี้และไถ่ถอนจำนอง หากจำเลยทั้งสองไม่ชำระให้ยึดทรัพย์สินจำนองของนายจารึกและจำเลยที่ 2 ออกขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้โจทก์ หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินของจำเลยที่ 2และจากกองมรดกของนายจารึกออกขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้ให้โจทก์จนครบถ้วน
จำเลยทั้งสองให้การว่า สัญญาเบิกเงินเกินบัญชีทั้งหมดเลิกกันตั้งแต่วันที่ 27 พฤศจิกายน 2527 เพราะนายจารึกได้ถึงแก่ความตายในวันนั้น แต่ปรากฏว่าโจทก์คิดดอกเบี้ยทบต้นเรื่อยมายอดหนี้ตามฟ้องจึงเป็นหนี้ที่ไม่สมบูรณ์ตามกฎหมายหนี้โจทก์ขาดอายุความแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้นางเรือนแก้ว พิทักษ์เผ่า ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายจารึก พิทักษ์เผ่า จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้ค้ำประกัน จำเลยที่ 2 ร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์ จำนวน4,143,043.43 บาท พร้อมดอกเบี้ย ทั้งนี้ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายจารึก พิทักษ์เผ่า จำเลยที่ 1 นั้น ให้รับผิดเฉพาะไม่เกินส่วนที่นางเรือนแก้ว พิทักษ์เผ่า ได้รับมรดกจากนายจารึก พิทักษ์เผ่า
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะเรื่องดอกเบี้ย นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายจารึก และในฐานะผู้ค้ำประกัน จึงเห็นควรแยกวินิจฉัยดังนี้ สำหรับความรับผิดของจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายจารึกนั้น เมื่อได้ความว่าจำเลยที่ 2 ลงชื่อรับสภาพหนี้ในฐานะทายาทผู้รับมรดกของนายจารึก จึงมีผลทำให้อายุความสะดุดหยุดลงเฉพาะในส่วนมรดกของนายจารึกที่ตกได้แก่จำเลยที่ 2เท่านั้น สำหรับมรดกส่วนอื่นเมื่อโจทก์ฟ้องคดีเกินกว่า 1 ปีนับแต่นายจารึกถึงแก่ความตาย คดีจึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 สำหรับการรับสภาพหนี้ของจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ค้ำประกันนั้น อายุความย่อมสะดุดหยุดลงฟ้องของโจทก์ในส่วนนี้จึงไม่ขาดอายุความข้อที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่าด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของโจทก์ ทำให้สิทธิเรียกร้องชำระหนี้จากกองมรดกของนายจารึกขาดอายุความ จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ค้ำประกันย่อมหลุดพ้นจากความรับผิดนั้น ก็ปรากฏว่า เมื่อนายจารึกถึงแก่ความตายแล้ว จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ค้ำประกันได้รับสภาพหนี้ต่อโจทก์ซึ่งมีผลทำให้อายุความสะดุดหยุดลงต้องเริ่มนับอายุความขึ้นใหม่ตามอายุความแห่งมูลหนี้เดิม ดังนั้น จำเลยที่ 2 จึงไม่อาจยกข้อต่อสู้ของกองมรดกของนายจารึกซึ่งเป็นลูกหนี้ในเรื่องอายุความมรดกขึ้นต่อสู้โจทก์ได้อีกต่อไป
พิพากษายืน