แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยมีและจำหน่ายเฮโรอีน เงินที่จำเลยขายได้เป็นทรัพย์สินที่จำเลยได้มาโดยการกระทำผิด ศาลริบตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33(2)
ย่อยาว
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยฐานมีและจำหน่ายเฮโรอีนตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2465 มาตรา 20 ทวิ ฉบับที่ 4 พ.ศ. 2504 มาตรา 6 จำคุก 2 ปี 6 เดือน ริบเฮโรอีนของกลาง ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ ให้ลงโทษฐานมีเฮโรอีนเพื่อจำหน่ายอีกกระทงหนึ่ง รวมเป็นจำคุก5 ปี โจทก์จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “เห็นควรวินิจฉัยฎีกาของจำเลยเสียก่อนว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานมีเฮโรอีนไว้เพื่อจำหน่ายอีกกระทงหนึ่งหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่าการกระทำของจำเลยตามที่โจทก์บรรยายมาในฟ้องแยกออกได้เป็นสองกรรมต่างกัน คือมีเฮโรอีนไว้เพื่อจำหน่ายกระทงหนึ่งกับจำหน่ายเฮโรอีนอีกกระทงหนึ่ง และจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง ทั้งข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ได้ว่า เมื่อจำเลยขายเฮโรอีน 1 หลอดแก่พลตำรวจชูชาติแล้ว ยังมีเฮโรอีนเหลืออยู่ที่ตัวจำเลยอีก4 หลอด และการที่จำเลยมีเฮโรอีนไว้เพื่อจำหน่ายกับจำหน่ายเฮโรอีนนั้นเป็นคนละกรรมกัน เพราะจำเลยมีเจตนาในการกระทำต่างกัน แม้ว่ากฎหมายบัญญัติความผิดทั้งสองฐานไว้ในมาตราเดียวกัน แต่การกระทำความผิดอาจแยกเป็นคนละกรรมได้ ทั้งนี้ย่อมขึ้นอยู่กับการบรรยายฟ้องของโจทก์และข้อเท็จจริงเป็นเรื่อง ๆ ไป การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานมีเฮโรอีนไว้เพื่อจำหน่ายอีกกระทงหนึ่งด้วย ฎีกาจำเลยในปัญหาข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ส่วนที่โจทก์ฎีกาเป็นข้อกฎหมายขอให้ริบเงินของกลาง โดยอ้างว่าศาลอุทธรณ์ไม่ริบเงินของกลางไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าเงิน 60 บาทของกลางเป็นเงินที่จำเลยได้มาจากการจำหน่ายเฮโรอีนให้แก่ผู้อื่นอันเป็นการกระทำผิดต่อกฎหมาย จึงเป็นทรัพย์สินซึ่งจำเลยได้มาโดยการกระทำผิด พึงริบเสียได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33(2)ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นว่า ให้ริบเงิน 60 บาทของกลาง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์”