คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4484/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยผิดสัญญาจะซื้อขายที่พิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้าง ขอให้บังคับจำเลยโอนที่พิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่โจทก์ตามสัญญาและรับชำระเงินจากโจทก์ จำเลยฟ้องแย้งว่าโจทก์แกล้งฟ้องคดีนี้เพื่อประวิงการออกไปจากที่พิพาท และสิ่งปลูกสร้างซึ่งจำเลยได้ใช้สิทธิบังคับคดีให้โจทก์และบริวารออกไปในคดีอื่นการกระทำของโจทก์เป็นการละเมิดสิทธิของจำเลย ทำให้จำเลยเสียหายขอให้บังคับโจทก์ใช้ค่าเสียหาย ดังนี้ฟ้องแย้งของจำเลยเป็นการตั้งประเด็นว่า การฟ้องคดีนี้ของโจทก์เป็นการแกล้งฟ้อง และประวิงการบังคับคดีในคดีอื่นที่จำเลยใช้สิทธิบังคับคดีเอาแก่โจทก์เป็นการละเมิดต่อจำเลยและเรียกค่าเสียหายซึ่งเป็นคนละเรื่องไม่เกี่ยวกับฟ้องโจทก์ที่ตั้งประเด็นว่า จำเลยผิดสัญญาจะซื้อขายขอให้บังคับตามสัญญาดังกล่าว ฟ้องแย้งของจำเลยจึงไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 177 วรรคสาม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทำสัญญาจะซื้อขายที่พิพาทโฉนดที่ดินเลขที่ 184, 185 และ 1319 (ตำบล) แขวงชนะสงคราม (อำเภอ) เขตพระนคร(จังหวัดพระนคร) กรุงเทพมหานคร พร้อมสิ่งปลูกสร้างจากจำเลยเป็นเงิน4,350,000 บาท โจทก์ชำระเงินในวันทำสัญญาให้แก่จำเลยแล้วบางส่วนและได้ครอบครองที่พิพาทตลอดมา เงินส่วนที่เหลืออีก 4,000,000 บาทกำหนดเงื่อนไขว่า โจทก์จะต้องชำระจำนวน 2,000,000 บาท ในวันโอนกรรมสิทธิ์คือวันที่ 8 มิถุนายน 2529 สำหรับเงินที่เหลือให้โจทก์จดทะเบียนจำนองที่ดินดังกล่าวพร้อมสิ่งปลูกสร้างแก่จำเลย กำหนดไถ่ถอนภายในวันที่ 24 พฤศจิกายน 2530 ดังปรากฏตามสัญญาจะซื้อขายเอกสารท้ายฟ้อง แต่จำเลยผิดนัดไม่โอนกรรมสิทธิ์ให้แก่โจทก์ทั้ง ๆ ที่โจทก์เตรียมเงินพร้อมที่จะชำระให้จำเลย ขอให้บังคับจำเลยไปทำการโอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวแก่โจทก์และรับชำระเงินจากโจทก์จำนวน 4,000,000 บาท หากจำเลยไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์ไม่ได้ตกลงซื้อที่พิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างจากจำเลยตามสัญญาท้ายฟ้อง สัญญาดังกล่าวเป็นสัญญาปลอมจำเลยจึงไม่มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตาม แต่จำเลยเคยทำสัญญาจะซื้อขายที่พิพาทกับโจทก์มาครั้งหนึ่ง ซึ่งมีสาระสำคัญแตกต่างกับสัญญาท้ายฟ้องดังปรากฏตามสัญญาท้ายคำให้การ โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา จำเลยจึงบอกเลิกสัญญาและริบเงินมัดจำ โจทก์ฟ้องคดีนี้โดยทราบดีอยู่แล้วว่า จำเลยได้ใช้สิทธิบังคับคดีให้โจทก์และบริวารออกจากที่พิพาทตามสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 2161/2523 ของศาลชั้นต้น จึงเป็นการแกล้งฟ้องเพื่อประวิงการออกไปจากที่พิพาทเป็นละเมิด ทำให้จำเลยเสียหายต้องขาดประโยชน์จากการจะนำที่พิพาทให้เช่าซึ่งจะได้ค่าเช่าเดือนละ 50,000 บาท ขอให้ยกฟ้อง และขอให้บังคับโจทก์ใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยเดือนละ 50,000 บาท นับแต่วันฟ้องแย้งเป็นต้นไปจนกว่าโจทก์และบริวารจะออกไปจากที่พิพาท
ศาลชั้นต้นสั่งรับคำให้การจำเลย ส่วนฟ้องแย้งไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิม จึงไม่รับ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาจะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่าฟ้องแย้งของจำเลยเกี่ยวกับฟ้องเดิมอันจะรับไว้พิจารณาได้หรือไม่เห็นว่า โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำผิดสัญญาจะซื้อขายที่พิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้าง ขอให้บังคับจำเลยโอนที่พิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่โจทก์ตามสัญญา และรับชำระเงินจากโจทก์ จำเลยฟ้องแย้งว่าโจทก์แกล้งฟ้องคดีนี้เพื่อประวิงการออกไปจากที่พิพาทและสิ่งปลูกสร้าง ซึ่งจำเลยได้ใช้สิทธิบังคับคดีให้โจทก์และบริวารออกไปในสำนวนคดีอื่น การกระทำของโจทก์เป็นการละเมิดสิทธิของจำเลยทำให้จำเลยเสียหายขอให้บังคับโจทก์ใช้ค่าเสียหาย ดังนี้ ฟ้องแย้งของจำเลยเป็นการตั้งประเด็นว่า การฟ้องของโจทก์คดีนี้เป็นการแกล้งฟ้องและประวิงการบังคับคดีในคดีอื่นที่จำเลยใช้สิทธิบังคับคดีเอาแก่โจทก์ เป็นการละเมิดต่อจำเลยและเรียกค่าเสียหายซึ่งเป็นคนละเรื่องไม่เกี่ยวกับฟ้องโจทก์ที่ตั้งประเด็นว่าจำเลยผิดสัญญาจะซื้อขาย ขอให้บังคับตามสัญญาดังกล่าว ฟ้องแย้งของจำเลยจึงไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม เป็นฟ้องแย้งที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสาม
พิพากษายืน

Share