คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4069/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ของโจทก์เฉพาะข้อหาความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365 ส่วนข้อหาตามมาตรา 358 และ 362ไม่รับ ศาลอุทธรณ์จึงไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีของโจทก์ทั้งสองข้อหาความผิดนั้นอีก การที่ศาลอุทธรณ์พิจารณาและพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358 และ 362 จึงไม่ชอบ ที่พิพาทเป็นที่ดินมือเปล่าการซื้อขายย่อมสมบูรณ์โดยการส่งมอบไม่จำต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เมื่อเจ้ามรดกขายที่พิพาทให้โจทก์ก่อนเจ้ามรดกตายโดยความรู้เห็นของจำเลยแล้ว การที่เจ้ามรดกทำพินัยกรรมเอกสารฝ่ายเมืองยกที่พิพาทให้แก่จำเลย พินัยกรรมส่วนที่เกี่ยวกับที่พิพาทย่อมไม่สมบูรณ์สิทธิครอบครองในที่พิพาทยังเป็นของโจทก์ จำเลยเข้าไปใช้รถไถขุดทำลายบ่อเลี้ยงปลาในที่พิพาทของโจทก์เพื่อถือการครอบครองอันเป็นการรบกวนการครอบครองที่พิพาทของโจทก์โดยปกติสุขทั้งเวลากลางวันและกลางคืนต่อเนื่องกัน จำเลยจึงมีความผิดฐานบุกรุกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365(3)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358, 365
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูลให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับเป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358, 362, 365(3) การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 365(3) ประกอบด้วยมาตรา 362 ซึ่งเป็นบทหนักตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 3 เดือน และปรับ 2,000 บาทพิเคราะห์ถึงความสัมพันธ์ระหว่างจำเลยกับโจทก์ ซึ่งจำเลยเป็นน้องร่วมบิดามารดาเดียวกันกับภรรยาของโจทก์ และสภาพของสถานที่เกิดเหตุก่อนและหลังเกิดเหตุตามภาพถ่ายหมาย จ.5 กับ จ.6 ประกอบแล้วเห็นว่า การกระทำความผิดของจำเลยไม่ร้ายแรงนัก อีกทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยกระทำความผิดมาก่อน สมควรให้โอกาสแก่จำเลยกลับตัวเป็นพลเมืองดีต่อไป ให้รอการลงโทษจำเลยไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 หากจำเลยไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29 และ 30
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยประการแรกว่าศาลฎีกาจะต้องวินิจฉัยความผิดของจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 358 และ 362 ตามที่จำเลยฎีกาขึ้นมาด้วยหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่าศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ของโจทก์เฉพาะข้อหาความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365 เพียงข้อหาเดียว ส่วนข้อหาความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358 และ 362 ศาลชั้นต้นสั่งในชั้นตรวจอุทธรณ์ว่าเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามอุทธรณ์ซึ่งเท่ากับศาลชั้นต้นสั่งไม่รับอุทธรณ์ทั้งสองข้อหาความผิดดังกล่าวโจทก์ไม่ได้อุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของศาลชั้นต้น คำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์ในข้อหาความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358 และ 362 จึงยุติ ศาลอุทธรณ์ไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีของโจทก์ทั้งสองข้อหาความผิดนั้นอีก ดังนั้นการที่ศาลอุทธรณ์พิจารณาและพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358 และ 362 จึงไม่ชอบให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในส่วนนี้เสีย ฎีกาของจำเลยเฉพาะข้อหาความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358 และ 362 จึงไม่ต้องวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยต่อไปมีว่า จำเลยกระทำความผิดฐานบุกรุกที่ดินในความครอบครองของโจทก์ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 365 ดังที่โจทก์ฟ้องหรือไม่ โจทก์มีทั้งพยานบุคคลและพยานเอกสารมานำสืบ เชื่อว่า นางอำคาได้ขายที่พิพาทให้โจทก์โดยความรู้เห็นของจำเลยแล้ว ดังนั้น เมื่อที่พิพาทเป็นที่ดินมือเปล่าการซื้อขายย่อมสมบูรณ์โดยการส่งมอบไม่จำต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ดังที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยเมื่อนางอำคาขายที่พิพาทให้แก่โจทก์แล้วนางอำคาก็ไม่มีอำนาจทำพินัยกรรมยกที่พิพาทให้แก่จำเลย การที่นางอำคาทำพินัยกรรมเอกสารฝ่ายเมืองยกที่พิพาทให้แก่จำเลย พินัยกรรมส่วนที่เกี่ยวกับที่พิพาทย่อมไม่สมบูรณ์สิทธิครอบครองในที่พิพาทยังเป็นของโจทก์เมื่อจำเลยรู้ว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์แล้ว จำเลยเข้าไปใช้รถไถขุดทำลายบ่อเลี้ยงปลาในที่พิพาทของโจทก์เพื่อถือการครอบครองที่พิพาทของโจทก์ทั้งเป็นการรบกวนการครอบครองที่พิพาทของโจทก์โดยปกติสุขทั้งเวลากลางวันและกลางคืนต่อเนื่องกันตามที่โจทก์กล่าวในฟ้องโดยที่จำเลยไม่ได้นำสืบแก้เกี่ยวกับวันเวลาแห่งการเข้าไปรบกวนการครอบครองที่พิพาทของโจทก์ จำเลยจึงมีความผิดฐานบุกรุกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365(3)
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เฉพาะในข้อหาความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358 และ 362 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share