คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3911/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 กับพวกฝ่ายหนึ่ง และจำเลยที่ 2และที่ 3 กับพวกอีกฝ่ายหนึ่ง ได้สมัครใจทำร้ายร่างกายซึ่งกันและกันโดยจำเลยที่ 1 กับพวกร่วมกันใช้มีดปลายแหลมและท่อนไม้เป็นอาวุธแทงฟันและตีกับใช้กำลังกายชกต่อยเตะทำร้ายร่างกายจำเลยที่ 2 และที่ 3กับพวกหลายครั้ง ส่วนจำเลยที่ 2 และที่ 3 กับพวกร่วมกันใช้เก้าอี้นั่งและเหล็กแป๊บเป็นอาวุธตี และใช้กำลังกายชกต่อยเตะทำร้ายร่างกายจำเลยที่ 1 กับพวกหลายครั้งเช่นกัน ย่อมแสดงว่าจำเลยสองฝ่ายต่างสมัครใจทำร้ายซึ่งกันและกัน ซึ่งแต่ละฝ่ายมีพวกตั้งแต่สองคนขึ้นไป ได้ร่วมกันเป็นตัวการกระทำความผิดในการทำร้ายอีกฝ่ายหนึ่งเป็นการบรรยายการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยกระทำความผิดข้อเท็จจริงและรายละเอียดที่เกี่ยวกับเวลาและสถานที่ที่เกิดการกระทำนั้น ๆ อีกทั้งบุคคลหรือสิ่งของที่เกี่ยวข้องด้วยพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยแต่ละฝ่ายเข้าใจข้อหาได้ดี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) แล้ว ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2534 เวลากลางคืนหลังเที่ยง จำเลยที่ 1 กับพวกอีกหลายคนซึ่งยังไม่ได้ตัวมาฟ้องฝ่ายหนึ่งกับจำเลยที่ 2 และที่ 3 กับพวกอีกหลายคนซึ่งยังไม่ได้ตัวมาฟ้อง อีกฝ่ายหนึ่ง ได้สมัครใจทำร้ายร่างกายซึ่งกันและกันโดยจำเลยที่ 1 กับพวกร่วมกันใช้มีดปลายแหลมและท่อนไม้เป็นอาวุธแทงฟันและตี กับใช้กำลังกายชกต่อยเตะทำร้ายร่างกายจำเลยที่ 2และที่ 3 กับพวกหลายครั้ง ส่วนจำเลยที่ 2 และที่ 3 กับพวกก็ได้ร่วมกันใช้เก้าอี้นั่งทำด้วยเหล็กและเหล็กแป๊บเป็นอาวุธตี และใช้กำลังกายชกต่อยเตะทำร้ายร่างกายจำเลยที่ 1 กับพวกหลายครั้งเช่นกันเป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ต่างได้รับอันตรายสาหัสต้องป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาและจนประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวัน เหตุเกิดที่แขวงถนนนครไชยศรี เขตดุสิตกรุงเทพมหานคร ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297, 83
จำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297(8) ประกอบมาตรา 83 จำคุกคนละ 3 ปีจำเลยให้การรับสารภาพ มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกคนละ 1 ปี 6 เดือน
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์ขอให้ลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษ
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 และที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ฎีกาปัญหาข้อกฎหมายว่า ฟ้องโจทก์มิได้บรรยายข้อเท็จจริงเกี่ยวกับจำนวนบุคคลที่กระทำความผิดให้ชัดเจนว่า พวกของจำเลยแต่ละฝ่ายนั้นมีใครบ้างจำนวนเท่าใด ใครทำร้ายใคร ด้วยอะไร เป็นฟ้องเคลือบคลุมนั้น เห็นว่าคดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 กับพวกอีกหลายคนซึ่งยังไม่ได้ตัวมาฟ้อง ฝ่ายหนึ่ง กับจำเลยที่ 2 และที่ 3 กับพวกอีกหลายคนซึ่งยังไม่ได้ตัวมาฟ้อง อีกฝ่ายหนึ่ง ได้สมัครใจทำร้ายร่างกายซึ่งกันและกัน โดยจำเลยที่ 1 กับพวกร่วมกันใช้มีดปลายแหลมและท่อนไม้เป็นอาวุธแทงฟันและตี กับใช้กำลังกายชกต่อยเตะทำร้ายร่างกายจำเลยที่ 2 และที่ 3 กับพวกหลายครั้ง ส่วนจำเลยที่ 2 และที่ 3กับพวกก็ได้ร่วมกันใช้เก้าอี้นั่งทำด้วยเหล็กและเหล็กแป๊บเป็นอาวุธตี และใช้กำลังกายชกต่อยเตะทำร้ายร่างกายจำเลยที่ 1 กับพวกหลายครั้งเช่นกัน เป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ต่างได้รับอันตรายสาหัส ตามฟ้องของโจทก์เป็นเรื่องจำเลยสองฝ่ายต่างสมัครใจทำร้ายซึ่งกันและกัน ซึ่งแต่ละฝ่ายมีพวกตั้งแต่สองคนขึ้นไปได้ร่วมกันเป็นตัวการกระทำความผิดในการทำร้ายอีกฝ่ายหนึ่งจนเป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ได้รับอันตรายสาหัส ฟ้องของโจทก์จึงได้บรรยายการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยกระทำความผิดข้อเท็จจริงและรายละเอียดที่เกี่ยวกับเวลาและสถานที่ที่เกิดการกระทำนั้น ๆ อีกทั้งบุคคลหรือสิ่งของที่เกี่ยวข้องด้วยพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยแต่ละฝ่ายเข้าใจข้อหาได้ดี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) แล้ว ฟ้องโจทก์หาเคลือบคลุมไม่ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยและกำหนดโทษมานั้นเหมาะสมแล้วไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะเปลี่ยนแปลงแก้ไข
พิพากษายืน

Share