คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2763/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยทั้งสองได้เชิดช.ออกแสดงเป็นตัวแทนของตนสั่งซื้อวงกบประตู หน้าต่างจากโจทก์ และค้างชำระหนี้ค่าสินค้าโจทก์ตามฟ้องจำเลยที่ 2 ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ชำระค่าวงกบประตู หน้าต่างที่ค้าง ปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่จำเลยทั้งสองยกขึ้นฎีกาจำเลยทั้งสองไม่ได้ให้การต่อสู้ไว้ และเป็นข้อที่มิได้ว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 วรรคแรก ศาลฎีกาไม่วินิจฉัย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองได้สั่งซื้อสินค้าประเภทวงกบประตูหน้าต่างจากโจทก์ รวมเป็นเงิน 158,235 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 158,993.20 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน 158,235 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยทั้งสองไม่เคยตั้งตัวแทนซื้อสินค้าตามฟ้องจากโจทก์ จำเลยที่ 1 ได้รับงานก่อสร้างหมู่บ้านแล้วให้นายชูเกียรติ ประสิทธิผลทวี เป็นผู้รับเหมาช่วงไปดำเนินการก่อสร้างตามสัญญาที่จำเลยทั้งสองทำไว้กับเจ้าของหมู่บ้านนายชูเกียรติซื้อวัสดุก่อสร้างตามฟ้องจากโจทก์เองทั้งหมด เพราะมีหน้าที่จัดหาสัมภาระในการก่อสร้างตามสัญญาจ้างเหมาช่วง มิใช่ทำฐานะตัวแทนของจำเลยทั้งสอง จำเลยทั้งสองจึงไม่ต้องชำระค่าสินค้าให้โจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระเงินจำนวน 158,235 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 20 มกราคม 2531 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์แต่ทั้งนี้ดอกเบี้ยก่อนฟ้องต้องไม่เกิน 758.20 บาท
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์มีทั้งพยานบุคคลและเอกสารที่เกี่ยวข้องเชื่อมโยงสอดคล้องกันสมเหตุสมผล มีน้ำหนักน่าเชื่อยิ่งกว่าพยานหลักฐานของจำเลย ส่วนสัญญารับเหมาก่อสร้างบ้านนั้นก็เป็นสัญญาระหว่างจำเลยที่ 1 กับนายชูเกียรติไม่ปรากฏว่าโจทก์เคยทราบมาก่อนแต่อย่างใด จึงใช้ยันโจทก์ไม่ได้ คดีฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองได้เชิดนายชูเกียรติออกแสดงเป็นตัวแทนของตนสั่งซื้อวงกบประตู หน้าต่างจากโจทก์ และค้างชำระหนี้สินค้าโจทก์ตามฟ้อง จำเลยที่ 2 ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ชำระค่าวงกบประตู หน้าต่างที่ค้าง158,235 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยในกรณีผิดนัดอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงินดังกล่าวให้แก่โจทก์นับแต่วันที่ 20 มกราคม 2531ซึ่งเป็นวันผิดนัดเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ข้อที่ฎีกาว่าการที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ให้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 รับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ชำระหนี้ตามฟ้องให้โจทก์ด้วยนั้น จำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1จะต้องรับผิดเฉพาะหนี้ที่จำเลยที่ 1 ทำไปตามวัตถุประสงค์ของจำเลยที่ 1 เท่านั้น ในกรณีของโจทก์เป็นเรื่องที่ตัวแทนเชิดของจำเลยที่ 1ไปก่อหนี้ไว้เองโดยหนี้ดังกล่าวไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ตามทางการค้าของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 นั้นเห็นว่า ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อที่จำเลยทั้งสองไม่ได้ให้การต่อสู้ไว้ และเป็นข้อที่มิได้ว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคแรกศาลฎีกาไม่วินิจฉัยให้ ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share