คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2383/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จำเลยซึ่งเป็นหุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิดเพียงคนเดียวของห้างหุ้นส่วนจำกัดได้ประพฤติผิดสัญญาเป็นปฏิปักษ์ต่อโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 4 ซึ่งเป็นหุ้นส่วนประเภทจำกัดความรับผิดนับว่ามีเหตุทำให้ห้างหุ้นส่วนจำกัดโจทก์ที่ 1 เหลือวิสัยที่จะดำรงคงอยู่ต่อไปได้ โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 4 ย่อมสามารถฟ้องจำเลยซึ่งเป็นผู้โต้แย้งสิทธิของโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 4 ตามกฎหมายขอให้เลิกกิจการห้างหุ้นส่วนจำกัดโจทก์ที่ 1 ซึ่งเป็นการเลิกสัญญาจัดตั้งห้างหุ้นส่วนระหว่างโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 4 และจำเลยได้โดยตรงโดยหาจำต้องฟ้องห้างหุ้นส่วนจำกัดด้วยไม่ เมื่อคำฟ้องโจทก์ได้บรรยายข้อเท็จจริงว่าจำเลยถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทในฐานะแทนโจทก์ที่ 1 และคำขอบังคับก็ได้ระบุขอให้บังคับจำเลยโอนที่ดินพิพาทคืนแก่โจทก์ซึ่งย่อมหมายความรวมถึงโจทก์ที่ 1 ด้วย คำฟ้องของโจทก์เช่นนี้หาเคลือบคลุมไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัดมีโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 4 เป็นหุ้นส่วนประเภทจำกัดความรับผิดจำเลยเป็นหุ้นส่วนประเภทไม่จำกัดความรับผิดและเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 4 ได้มอบเงินลงหุ้นของแต่ละคนให้จำเลยรับไป จำเลยได้นำเงินลงหุ้นและเงินที่กู้มาซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 2583 ตำบลคลองตัน (บางกะปิฝั่งใต้) อำเภอพระโขนงกรุงเทพมหานคร ซึ่งต่อมาได้มีการแบ่งแยกโฉนดที่ดินแปลงนี้ออกเป็น2 โฉนด โดยแบ่งแยกเป็นโฉนดใหม่เลขที่ 23189 และลงชื่อจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์แทนโจทก์ทั้งสี่ ส่วนที่ดินซึ่งเหลืออยู่ในโฉนดเดิมเลขที่ 2583 นั้นคงมีชื่อนายมานิตเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์อยู่ เมื่อโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 4 และจำเลยได้จดทะเบียนตั้งห้างโจทก์ที่ 1 แล้วได้ตกลงกันให้จำเลยเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการและให้จำเลยมีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินเลขที่ 23189 ในฐานะตัวแทนของโจทก์ทั้งสี่ต่อไปปรากฏว่าจำเลยได้กระทำผิดสัญญาตัวแทนและผิดสัญญาหุ้นส่วนต่อโจทก์ทั้งสี่หลายประการจำเลยยังได้นำที่ดินโฉนดเลขที่ 23189 ดังกล่าวไปจำนองไว้กับบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ไทยมิตซูบิชิอินเวสท์เม้นท์ จำกัดเพื่อเป็นประกันหนี้ของห้างหุ้นส่วนจำกัดกิจมงคลซึ่งจำเลยเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการโดยไม่ได้บอกกล่าวและไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 4 โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 4 ไม่ประสงค์จะเป็นหุ้นส่วนกับจำเลยอีกต่อไป ขอให้พิพากษาหรือมีคำสั่งให้เลิกห้างโจทก์ที่ 1 และแต่งตั้งให้โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 4 ร่วมกันเป็นผู้ชำระบัญชีของโจทก์ที่ 1 ให้จำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 23189 คืนให้แก่โจทก์ในสภาพปลอดจำนองหรือภาระติดพันใด ๆ
จำเลยให้การว่า โจทก์ที่ 1 ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะโจทก์ที่ 2ถึงที่ 4 ไม่ใช่ผู้เป็นหุ้นส่วนของโจทก์ที่ 1 และไม่มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ที่ 1 โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 4 ไม่เคยมอบหมายให้จำเลยไปทำการซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 2583 หรือเลขที่ 23189 ที่ดินโฉนดเลขที่ 23189 เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยกับนางเพ็ญศิริคู่สมรสของจำเลย โดยซื้อมาจากนายมานิตในระหว่างสมรส จำเลยไม่เคยตกลงเข้าหุ้นและไม่เคยทำสัญญาหุ้นส่วนกับโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 4จำเลยจึงไม่ผิดสัญญาใด ๆ กับโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 4 ฟ้องของโจทก์ที่ขอให้ศาลสั่งเลิกห้างโจทก์ที่ 1 และแต่งตั้งผู้ชำระบัญชีโดยมิได้ฟ้องห้างโจทก์ที่ 1 เป็นจำเลยเป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ห้างหุ้นส่วนจำกัดอโศกบริการเลิกกันและจัดการชำระบัญชีตามกฎหมาย โดยให้โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 4 กับจำเลย ผู้เป็นหุ้นส่วนทั้งหมดร่วมกันเป็นผู้ชำระบัญชี ถ้าไม่สามารถจัดการชำระบัญชีได้ ให้แต่งตั้งให้บุคคลอื่นเป็นผู้ชำระบัญชีให้จำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 23189คืนให้แก่ห้างหุ้นส่วนจำกัดอโศกบริการ ในสภาพปลอดจำนองหรือภาระติดพันใด ๆ ให้ยกฟ้องโจทก์ที่ 1
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า สำหรับปัญหาที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยมิได้ผิดสัญญาและโจทก์ต้องฟ้องห้างด้วยนั้น ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติว่า จำเลยซึ่งเป็นห้างหุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิดเพียงคนเดียวของห้างหุ้นส่วนจำกัดได้ประพฤติผิดสัญญาเป็นปฏิปักษ์ต่อโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 4 จริง นับว่ามีเหตุทำให้ห้างหุ้นส่วนจำกัดโจทก์ที่ 1 เหลือวิสัยที่จะดำรงคงอยู่ต่อไปได้ โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 4 ย่อมสามารถฟ้องจำเลยซึ่งเป็นผู้โต้แย้งสิทธิของโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 4 ตามกฎหมายขอให้เลิกกิจการห้างหุ้นส่วนจำกัดโจทก์ที่ 1 ซึ่งเป็นการเลิกสัญญาจัดตั้งห้างหุ้นส่วนระหว่างโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 4 และจำเลยได้โดยตรงโดยหาจำต้องฟ้องห้างหุ้นส่วนจำกัดด้วยไม่
ส่วนปัญหาที่จำเลยฎีกาว่า คำฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมและคำพิพากษาส่วนที่ให้จำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทคืนให้แก่โจทก์ที่ 1 เป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็นนั้นคำฟ้องโจทก์ได้บรรยายข้อเท็จจริงว่าจำเลยถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทในฐานะแทนโจทก์ที่ 1 และคำขอบังคับก็ได้ระบุขอให้บังคับจำเลยโอนที่ดินพิพาทคืนแก่โจทก์ซึ่งย่อมหมายความรวมถึงโจทก์ที่ 1 ด้วย คำฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
พิพากษายืน

Share