คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2350/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ป. ได้ร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่จำเลยทั้งสี่และ ส.ในความผิดฐานร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขัง ภ. โดยร่วมกันกระทำความผิดตั้งแต่ห้าคนขึ้นไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 วรรคสองซึ่งเป็นความผิดที่ไม่อาจยอมความกันได้ และพนักงานสอบสวนมีอำนาจสอบสวนได้ แม้จะไม่มีคำร้องทุกข์เพราะมิใช่คดีความผิดต่อส่วนตัวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 121 พนักงานสอบสวนได้ดำเนินการสอบสวนแล้วเสนอความเห็นควรสั่งฟ้อง พนักงานอัยการมีคำสั่งและฟ้องจำเลยทั้งสี่ในความผิดฐานดังกล่าว การสอบสวนและอำนาจฟ้องเป็นไปโดยชอบทุกขั้นตอน แม้ต่อมาในชั้นพิจารณาข้อเท็จจริงจะต่างจากฟ้องก็เป็นอำนาจศาลที่จะพิพากษาตามที่พิจารณาได้ความตามกฎหมาย หาเป็นเหตุให้กระทบกระเทือนถึงอำนาจการสอบสวนของพนักงานสอบสวน และอำนาจฟ้องของโจทก์ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องทั้งสองสำนวนมีใจความว่า จำเลยทั้งสี่กับนายสารสิทธิ์ หรืออี๊ด จิตสุภาพ และพวกอีกหลายคน ได้ร่วมกันพานางภาวิณีหรือติ๋ม ศิริวรรณ ไปหน่วงเหนี่ยวกักขังไว้ โดยข่มขืนใจให้จำยอมอยู่ในบังคับ และกระทำตามสั่งโดยไม่ขัดขืน มิฉะนั้นจะทำร้ายให้เกิดอันตรายแก่ชีวิตและร่างกายจนเป็นเหตุให้นางภาวิณีหรือติ๋มกลัวจำต้องยอมอยู่ในบังคับไม่หลบหนี เป็นเหตุให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309วรรคสอง, 310, 83
จำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 ที่ 4 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 วรรคแรก, มาตรา 310 วรรคแรกประกอบด้วยมาตรา 83 แต่เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบทให้ลงโทษบทหนักตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 เนื่องจากมาตรา 309วรรคแรก กับมาตรา 310 วรรคแรก มีอัตราโทษเท่ากัน เห็นสมควรให้ลงโทษตามมาตรา 310 วรรคแรก เมื่อพิเคราะห์ถึงพฤติการณ์แห่งคดีประกอบกับจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าพนักงานตำรวจผู้มีหน้าที่ป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมได้กระทำผิดเสียเองให้จำคุกจำเลยที่ 1 ที่ 4คนละ 3 ปี ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ที่ 3
โจทก์ทั้งสองสำนวนและจำเลยที่ 1 ที่ 4 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 4 ด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ทั้งสองสำนวนฎีกา โดยอัยการสูงสุดรับรองให้ฎีกาในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 ที่ 3
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้นางประเมียรได้ร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีกับจำเลยทั้งสี่และนายสารสิทธิ์ จิตสุภาพ ในความผิดฐานร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขังนางภาวิณี ศิริวรรณ โดยร่วมกันกระทำความผิดตั้งแต่ห้าคนขึ้นไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309วรรคสอง ซึ่งเป็นความผิดที่ไม่อาจยอมความกันได้ และพนักงานสอบสวนมีอำนาจสอบสวนได้แม้จะไม่มีคำร้องทุกข์ เพราะมิใช่คดีความผิดต่อส่วนตัวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 121 ซึ่งพนักงานสอบสวนได้ดำเนินการสอบสวนแล้วเสนอความเห็นควรสั่งฟ้องซึ่งพนักงานอัยการก็ได้มีคำสั่งและฟ้องจำเลยทั้งสี่ในความผิดฐานดังกล่าวต่อศาลเป็นคดีนี้ การสอบสวนก็ดีตลอดจนอำนาจฟ้องของพนักงานอัยการโจทก์ก็ดีเป็นไปโดยชอบทุกขั้นตอน แม้ต่อมาในชั้นพิจารณาข้อเท็จจริงที่ปรากฏจะไม่ได้ความประจักษ์ครบถ้วนตามฟ้องก็เป็นอำนาจศาลที่จะพิพากษาตามรูปคดีที่พิจารณาได้ความต่อไปตามกฎหมาย หาเป็นเหตุให้กระทบกระเทือนถึงอำนาจการสอบสวนของพนักงานสอบสวนตลอดจนอำนาจฟ้องของพนักงานอัยการที่เป็นไปโดยชอบแล้วมาแต่แรกเริ่มไม่แล้ววินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 และที่ 4กระทำผิดตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยซึ่งเป็นการกระทำผิดอย่างหนึ่งที่รวมอยู่ในความผิดที่โจทก์ฟ้อง ย่อมลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 4ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 แต่ฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 กระทำผิด
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share