คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1923/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

วันเกิดเหตุซึ่งเป็นเวลาใกล้ชิดกับเหตุเพลิงไหม้ จำเลยเป็นคนสุดท้ายที่เปิดประตูเข้าไปในสำนักงานที่ดิน โดยเข้าออกหลังเลิกงานซึ่งมีการปิดประตูหน้าต่างเรียบร้อยแล้วและเป็นเวลาก่อนเกิดเหตุไม่นาน ก่อนเกิดเหตุจำเลยถูกราษฎรฟ้องคดีอาญาฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบในการออก น.ส.3 ทับที่ดินผู้อื่น จำเลยย่อมต้องได้รับความเดือดร้อนจากการปฏิบัติหน้าที่อันเกี่ยวกับการมีอยู่ของเอกสารบางฉบับซึ่งอยู่ในความครอบครองของทางราชการ นับแต่จำเลยถูกฟ้องเป็นต้นมาจำเลยมีพฤติการณ์เข้าไปมีส่วนได้เสียกับแผนที่ระวาง ซึ่งเป็นหลักฐานสำคัญเกี่ยวข้องกับการออก น.ส.3 การเผาทำลายเอกสารครั้งนี้ย่อมเล็งเห็นเจตนาของผู้กระทำได้ว่ามุ่งหมายจะทำลายเอกสารทั้งหมด เพื่อไม่ต้องการให้เอกสารฉบับใดฉบับหนึ่ง ใช้เป็นพยานหลักฐานยันตนในการกระทำอันฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ประกอบกับพฤติการณ์ของจำเลยที่เข้าไปในสำนักงานที่ดินเป็นคนสุดท้ายก่อนเกิดเพลิงไหม้ไม่นาน แม้โจทก์จะไม่มีประจักษ์พยานยืนยันว่าจำเลยเป็นผู้วางเพลิง แต่จากพยานแวดล้อมกรณีมีน้ำหนักมั่นคงฟังได้ว่าจำเลยเป็นผู้วางเพลิงเผาทรัพย์รายนี้เป็นเหตุให้ ส.ค.1 ประมาณ 30 แฟ้มและเพดานห้องบางส่วนบนอาคารสำนักงานที่ดินได้รับความเสียหาย จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 218

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 218
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 218 จำคุก 10 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังได้ว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุดังฟ้อง มีเหตุเพลิงไหม้เกิดขึ้นในห้องเก็บเอกสารซึ่งอยู่บนอาคารชั้นสองของสำนักงานที่ดินอำเภอจะนะ มีผู้เห็นเหตุการณ์เข้าช่วยดับเพลิงอยู่นานประมาณ 1 ชั่วโมงเพลิงจึงสงบลง ปรากฎว่าต้นเพลิงเกิดขึ้นที่ชั้นเก็บเอกสาร ส.ค.1ภายในห้องเก็บเอกสาร เป็นเหตุให้ ส.ค.1 ประมาณ 30 แฟ้ม และเพดานห้องบางส่วนได้รับความเสียหายตามภาพถ่ายหมาย จ.2 และ ป.จ.3ปัญหาวินิจฉัยมีว่า จำเลยได้กระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ เกี่ยวกับสาเหตุการเกิดเพลิงไหม้ครั้งนี้… ข้อเท็จจริงมีน้ำหนักฟังได้ว่าสาเหตุเพลิงไหม้เกิดจากการวางเพลิง ปัญหาว่าจำเลยเป็นผู้วางเพลิงเผาทรัพย์รายนี้หรือไม่ ได้ความตามทางนำสืบของโจทก์ว่า จำเลยรับราชการในตำแหน่งเจ้าหน้าที่ที่ดิน 4 ประจำสำนักงานที่ดินอำเภอจะนะมีหน้าที่จดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับที่ดิน… ห้องเก็บเอกสารที่เกิดเพลิงไหม้อยู่บนอาคารชั้นสองมีประตูเหล็กยืดด้านหน้าใช้เป็นทางเข้าออกทางเดียว ส่วนกุญแจประตูมีด้วยกัน 5 ดอก ผู้ถือกุญแจมีนักการภารโรง เจ้าหน้าที่การเงินรวมทั้งจำเลยด้วย ก่อนเกิดเหตุโจทก์มีนายประเสริฐเพชรสุวรรณ นักการภารโรงของสำนักงานที่ดินอำเภอจะนะเบิกความว่า วันเกิดเหตุเลิกงานแล้วเวลาประมาณ 16.30 นาฬิกา พยานปิดหน้าต่างทุกบานของตัวอาคารทั้งหมดคงเหลือไว้แต่ประตูด้านหน้ารออยู่จนกระทั่งนายเฉลิมพล พฤกษพัฒนพงษ์ ออกจากสำนักงานเป็นคนสุดท้ายและเป็นคนปิดประตู พยานจึงกลับบ้านไป หลังจากนั้นโจทก์มีนายดาบตำรวจวิรัช จิระโร และนายศักดา ราชธำรอง นักการภารโรงของที่ว่าการอำเภอจะนะเบิกความยืนยันทำนองเดียวกันว่า วันเกิดเหตุเวลาระหว่าง 16.30-17.30 นาฬิกา พยานทั้งสองกับพวกเล่นตะกร้อกันอยู่บริเวณหน้าสำนักงานที่ดินอำเภอจะนะ ซึ่งอยู่ติดต่อกับหน้าที่ว่าการอำเภอจะนะ หลังจากนายเฉลิมพลปิดประตูสำนักงานที่ดินแล้วต่อมาเวลาประมาณ 17 นาฬิกา มีรถยนต์กระบะคันสีขาวแล่นเข้าไปจอดหน้าสำนักงานที่ดิน เห็นจำเลยเปิดประตูสำนักงานที่ดินเข้าไปนานประมาณ 5 นาที จึงกลับออกมาพร้อมกับปิดประตู แล้วนั่งรถยนต์กระบะคันดังกล่าวออกไป เสร็จจากเล่นตะกร้อแล้ว นายดาบตำรวจวิรัชกลับบ้านไป ส่วนนายศักดายังอยู่คอยเชิญธงชาติลงจากเสาธง จนกระทั่งเวลา 17.50 นาฬิกา จึงปรากฏเพลิงไหม้ขึ้นที่อาคารชั้นสองของสำนักงานที่ดิน ซึ่งนายศักดาอ้างว่ายังคงอยู่ช่วยดับเพลิงจนกระทั่งเพลิงสงบลง ตามคำพยานโจทก์ข้างต้นรูปคดีมีเหตุผลเชื่อได้ว่าพยานโจทก์ทั้งสองอยู่ในที่เกิดเหตุจริง ส่วนที่พยานโจทก์ทั้งสองอ้างว่าเห็นจำเลยเปิดปิดประตูเข้าออกสำนักงานที่ดินเป็นคนสุดท้ายในวันเกิดเหตุนั้น ได้ความตามคำพยานโจทก์ทั้งสองว่า รู้จักจำเลยดีในฐานะที่จำเลยเป็นข้าราชการประจำสำนักงานที่ดิน ทั้งการเปิดปิดประตูหน้าสำนักงานที่ดินในแต่ละครั้งนั้นมีเสียงดังได้ยินเป็นระยะทางไกล เพราะเป็นประตูเหล็กยืดส่วนระยะการมองเห็นนั้น นายดาบตำรวจวิรัชเบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า จุดที่เล่นตะกร้ออยู่ห่างจากหน้าสำนักงานที่ดินประมาณ 20 เมตรเท่านั้น จึงย่อมเป็นการสมเหตุผลที่พยานโจทก์ทั้งสองจะอ้างได้ว่าเห็นจำเลยเข้าออกสำนักงานที่ดิน แม้ในขณะที่ตนกำลังเล่นตะกร้ออยู่ก็ตาม อนึ่ง เมื่อคำนึงว่าพยานโจทก์ทั้งสองไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน จึงไม่มีข้อควรระแวงว่าจะเบิกความปรักปรำกัน คำพยานโจทก์ทั้งสองจึงมีน้ำหนักให้รับฟัง และข้อนี้แม้จำเลยจะนำสืบพยานบุคคลโดยอ้างฐานที่อยู่ว่าวันเกิดเหตุจำเลยออกจากสำนักงานที่ดินไปพร้อมกับนายปานจิตร พลเพชรตั้งแต่เวลา 16.30 นาฬิกา และไม่ได้ย้อนกลับมาอีก ก็ไม่มีน้ำหนักพอฟังหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า วันเกิดเหตุซึ่งเป็นเวลาใกล้ชิดกับเหตุเพลิงไหม้จำเลยเป็นคนสุดท้ายที่เปิดประตูเข้าไปในสำนักงานที่ดิน ดังนี้ แม้ในช่วงเวลา 16.30นาฬิกา จะมีเจ้าหน้าที่อื่นทยอยกันออกจากสำนักงานที่ดินก็ตามก็เป็นเวลาเลิกงานตามปกติ ทั้งยังได้ความว่า ทันทีที่เลิกงานก็มีการปิดประตูหน้าต่างโดยรอบแล้ว นายประเสริฐซึ่งเป็นนักการภารโรงเบิกความว่า ไม่ได้กลิ่นเหม็นไหม้ใดในขณะปิดหน้าต่างอาคารชั้นบนส่วนจำเลยนี้ต่างจากผู้อื่นโดยได้เข้าออกสำนักงานที่ดินหลังเลิกงานซึ่งมีการปิดประตูหน้าต่างเรียบร้อยแล้ว และเป็นเวลาก่อนเกิดเหตุเพลิงไหม้ไม่นานการกระทำของจำเลยจึงส่อพิรุธในเบื้องต้นนอกจากนี้ในการปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยเท่าที่ผ่านมานั้น โจทก์มีนายสันติชัย สุวรรณะเจ้าหน้าที่บริหารงานที่ดินอำเภอ และร้อยตำรวจตรีนรินทร์ คำแก่น พนักงานสอบสวนเบิกความต้องกันว่าก่อนเกิดเหตุจำเลยถูกราษฎรฟ้องเป็นคดีอาญาในข้อหาฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบในการออก น.ส.3 ทับที่ดินของผู้อื่นที่ตำบลนาทับ ตามสำเนาคำฟ้องเอกสารหมาย จ.4 ปรากฏตามสำเนาคำฟ้องฉบับนี้ว่า จำเลยกับพวกถูกฟ้องเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน2532 อันเป็นเวลาก่อนเกิดเหตุคดีนี้ประมาณ 4 เดือน แม้ว่าโจทก์จะมิได้นำสืบถึงผลคดีดังกล่าวดังที่จำเลยฎีกาก็ตาม ก็เชื่อได้ว่าจำเลยย่อมต้องได้รับความเดือดร้อนจากการปฏิบัติหน้าที่อันเกี่ยวกับการมีอยู่ของเอกสารบางฉบับซึ่งอยู่ในความครอบครองของทางราชการ ทั้งนี้โดยได้ความจากคำเบิกความของนายศิวโรจน์วัชรอดิสัย และนายประเสริฐ พยานโจทก์ทั้งสองว่า ศาลเคยมีหมายเรียกถึงสำนักงานที่ดินให้ส่งแผนที่ระวางตำบลนาทับไปให้แต่แผนที่ระวางดังกล่าวสูญหายไป จำเลยจึงออกอุบายใช้ให้นายศิวโรจน์แกล้งทำเป็นเอาแผนที่ระวางดังกล่าวไปรังวัดแล้วอ้างว่าถูกโจรปล้นเอาไป แต่นายศิวโรจน์ไม่ยอมทำตาม และจำเลยยังเคยใช้ให้นายประเสริฐไปแจ้งความว่าแผนที่ระวางดังกล่าวถูกคนร้ายลักเอาไปหรือมิฉะนั้นก็ให้แจ้งความว่าตกน้ำไป แต่นายประเสริฐก็ไม่ยอมทำตามเช่นเดียวกัน ความดังกล่าวจำเลยหาได้นำสืบปฏิเสธไม่ เห็นว่า นับแต่จำเลยถูกฟ้องเป็นคดีในข้อหาฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเป็นต้นมา จำเลยมีพฤติการณ์เข้าไปมีส่วนได้เสียกับแผนที่ระวางตำบลนาทับ ซึ่งเป็นหลักฐานสำคัญเกี่ยวข้องกับการออก น.ส.3 อนึ่ง การเผาทำลายเอกสารครั้งนี้ย่อมเล็งเห็นเจตนาของผู้กระทำได้ว่า มุ่งหมายที่จะทำลายเอกสารทั้งหมดเพื่อไม่ต้องการให้เอกสารฉบับใดฉบับหนึ่งใช้เป็นพยานหลักฐานยันตนในการกระทำอันฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ประกอบกับพฤติการณ์อันเป็นพิรุธของจำเลยที่เข้าไปในสำนักงานที่ดินเป็นคนสุดท้ายก่อนเกิดเพลิงไหม้ไม่นาน ดังวินิจฉัยมาข้างต้น กรณีดังกล่าวแม้โจทก์จะไม่มีประจักษ์พยานยืนยันว่าจำเลยเป็นผู้วางเพลิงดังที่จำเลยฎีกาก็ตามแต่จากพยานแวดล้อมกรณีดังกล่าว มีน้ำหนักมั่นคงฟังได้ว่าจำเลยเป็นผู้วางเพลิงเผาทรัพย์รายนี้ จึงมีความผิดตามฟ้อง ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยมานั้นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share