แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นได้พิพากษาขับไล่จำเลยทั้งหมดและบริวารออกจากห้องแถวพิพาท และจำเลยทั้งหมดได้ออกจากห้องแถวพิพาทแล้ว ดังนั้นแม้ผู้ร้องสอดจะมีสิทธิร้องสอดเข้ามาเป็นคู่ความในคดีได้ก็ตามแต่การที่ศาลฎีกาจะมีคำสั่งย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้น อนุญาตให้ผู้ร้องสอดเข้ามาเป็นคู่ความในคดีแล้วพิจารณาพิพากษาใหม่ทั้งหมดก็จะทำให้คดีล่าช้าไม่เป็นประโยชน์แก่คู่กรณี จึงสมควรให้ผู้สอดไปฟ้องเป็นคดีใหม่
ย่อยาว
คดีทั้งหกสำนวนศาลชั้นต้นพิจารณารวมกันโดยให้เรียกนายตุ้มเต็กง้วน จำเลยในคดีหมายเลขดำที่ 639/2532 ของศาลชั้นต้นเป็นจำเลยที่ 1 นางประไพ ศรีอนันต์ จำเลยในคดีหมายเลขดำที่752/2532 ของศาลชั้นต้น เป็นจำเลยที่ 2 นางวิไลพรเสรีศักดิ์ตระกูล จำเลยในคดีหมายเลขดำที่ 753/2532 ของศาลชั้นต้นเป็นจำเลยที่ 3 นายวัน จันทร์งาม จำเลยในคดีหมายเลขดำที่755/2532 ของศาลชั้นต้น เป็นจำเลยที่ 4 นายสมพงษ์ แซ่ตั้งจำเลยในคดีหมายเลขดำที่ 756/2532 และ 759/2532 ของศาลชั้นต้นเป็นจำเลยที่ 5 คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ทั้งสามฟ้องขับไล่จำเลยทั้งห้าออกจากที่ดินและตึกแถวที่โจทก์อ้างว่าเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ จำเลยทั้งห้าให้การในทำนองเดียวกันว่า จำเลยทั้งห้าเช่าที่ดินมาจากผู้ร้องสอด ขณะนี้ยังไม่ครบกำหนดเวลาตามสัญญาเช่าโจทก์ไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ตึกแถวตามฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ผู้ร้องสอดยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องสอดได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินและตึกแถวดังกล่าวโดยการครอบครองปรปักษ์แล้ว การที่โจทก์ทั้งสามฟ้องขับไล่จำเลยทั้งห้าดังกล่าว คำพิพากษาของศาลย่อมกระทบกระเทือนและโต้แย้งสิทธิของผู้ร้องสอดในทรัพย์สินดังกล่าว ผู้ร้องสอดจึงยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความในคดีนี้
ศาลชั้นต้น สั่งยกคำร้อง
ผู้ร้องสอดอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นรับคำร้องสอดไว้พิจารณาต่อไป
โจทก์ทั้งสามทั้งหกสำนวนฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เห็นว่า แม้ผู้ร้องสอดจะมีสิทธิร้องสอดเข้ามาเป็นคู่ความในคดีนี้ได้ก็ตาม แต่ได้ความตามฟ้องฎีกาของโจทก์ทั้งสามว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้ขับไล่จำเลยทั้งหมดและบริวารออกจากห้องแถวพิพาท และจำเลยทั้งหมดก็ส่งมอบห้องแถวพิพาทให้แก่โจทก์ทั้งสามหมดสิ้น จำเลยทั้งหมดไม่ได้อยู่ในห้องแถวพิพาทอีกต่อไปแล้วซึ่งผู้ร้องสอดมิได้โต้แย้งคัดค้านว่าไม่เป็นความจริง ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ตามคำฟ้องฎีกาของโจทก์ทั้งสามว่า ศาลชั้นต้นได้พิพากษาขับไล่จำเลยทั้งหมดและบริวารออกจากห้องแถวพิพาท และจำเลยทั้งหมดได้ออกจากห้องแถวพิพาทแล้ว ดังนั้นหากศาลฎีกาจะมีคำสั่งย้อนสำนวนไปให้ ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ผู้ร้องสอดเข้ามาเป็นคู่ความในคดี แล้วดำเนินกระบวนพิจารณาพิพากษาใหม่ทั้งหมด ก็จะทำให้คดีดังกล่าวข้างต้นต้องล่าช้าไม่เป็นประโยชน์แก่คู่กรณี ศาลฎีกาเห็นสมควรให้ผู้ร้องสอดไปฟ้องเป็นคดีใหม่ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ฎีกาโจทก์ทั้งสามทั้งหกสำนวนฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้ยกคำร้อง แต่ไม่ตัดสิทธิผู้ร้องสอดที่จะไปฟ้องคดีใหม่