แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คำฟ้องของโจทก์สรุปได้ว่า จำเลยไม่ได้เป็นเจ้าของที่พิพาทและไม่ได้เป็นผู้เช่าจาก ม. แต่ไปแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนว่าจำเลยเป็นผู้ครอบครองที่ดินโดยเช่าจาก ม.และโจทก์บุกรุกเข้าไปในที่ดินตัดต้นส้มเขียวหวานของจำเลย ทำให้โจทก์ตกเป็นผู้ต้องหา ความจริงแล้วโจทก์เป็นเจ้าของที่พิพาทโดยซื้อมาจาก บ. การกระทำของจำเลยตามฟ้องเป็นการแจ้งความว่าโจทก์กระทำความผิดอาญาข้อหาบุกรุกและทำให้เสียทรัพย์ ซึ่งหากเป็นความเท็จ จำเลยก็อาจมีความผิดฐานแจ้งความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับความผิดอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 172 ได้ ฟ้องของโจทก์ได้บรรยายการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยกระทำความผิดรวมทั้งข้อเท็จจริงและรายละเอียดที่เกี่ยวข้องพอสมควรเท่าที่จะทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 158(5) แล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91,172, 173, 174, 309, 310
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูลเฉพาะข้อหาความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 172, 173, 174 ให้ประทับฟ้องส่วนข้อหาความผิดตามมาตรา 309, 310 ไม่มีมูล ให้ยกฟ้อง
จำเลยไม่ได้ให้การ ถือว่าจำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 172 จำคุก 6 เดือน ข้อหาอื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ฟ้องของโจทก์ข้อหาแจ้งความเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 172 ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ พิเคราะห์แล้วตามคำฟ้องของโจทก์สรุปได้ว่าจำเลยไม่ได้เป็นเจ้าของที่พิพาทและไม่ได้เป็นผู้เช่าจากนางมณี แต่ได้ไปแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนว่าจำเลยเป็นผู้ครอบครองที่ดินดังกล่าวโดยเช่าจากนางมณี และโจทก์บุกรุกเข้าไปในที่ดินตัดต้นส้มเขียวหวานของจำเลย ทำให้โจทก์ตกเป็นผู้ต้องหา ความจริงแล้วโจทก์เป็นเจ้าของที่พิพาทโดยซื้อมาจากนางสาวบุญพา ศาลฎีกาเห็นว่าการกระทำของจำเลยตามฟ้องโจทก์เป็นการแจ้งความว่าโจทก์กระทำความผิดอาญาข้อหาบุกรุกและทำให้เสียทรัพย์ ซึ่งหากเป็นความเท็จจำเลยก็อาจมีความผิดฐานแจ้งความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับความผิดอาญาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 172 ได้ ดังนี้ ฟ้องของโจทก์ได้บรรยายการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยกระทำผิดรวมทั้งข้อเท็จจริงและรายละเอียดที่เกี่ยวข้องพอสมควรเท่าที่จะทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)แล้ว ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น แล้วฟังข้อเท็จจริงและวินิจฉัยว่าขณะที่โจทก์ให้นายสมศักดิ์กับพวกเข้าไปปรับหน้าดินที่พิพาทและตัดฟันต้นไม้นั้น จำเลยเป็นผู้ครอบครองที่พิพาทอยู่ในฐานะที่เคยเป็นผู้เช่าจากนางมณีและโจทก์ทราบดีอยู่แล้ว เช่นนี้ศาลฎีกาเห็นว่า พฤติการณ์การกระทำของโจทก์กับพวกย่อมมีเหตุที่จะทำให้จำเลยเข้าใจว่าโจทก์กระทำความผิดอาญาฐานบุกรุกและทำให้เสียทรัพย์ ทั้งข้อเท็จจริงที่จำเลยแจ้งความก็ตรงตามเรื่องราวที่เกิดขึ้นเพียงแต่รายละเอียดปลีกย่อยอาจคลาดเคลื่อนไปบ้างเท่านั้นกรณีจึงยังถือไม่ได้ว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 172 ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล
พิพากษายืน