คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1177/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้เสียหายและนาย ม. ชกต่อยกอดปล้ำกันได้ประมาณ 3 นาทีจำเลยจึงขับรถจักรยานยนต์มาที่เกิดเหตุ โดยมีนาย จ. นั่งซ้อนท้ายมาด้วย นางสาวส.เรียกให้นาย จ. ช่วยห้ามและให้เอาตัวนายม.ไป นาย จ. เข้ารวบตัวผู้เสียหาย นายม.ชกต่อยผู้เสียหายอีก 2-3 ครั้ง แล้วขึ้นรถจักรยานยนต์ของจำเลยหลบหนีไป การที่จำเลยนั่งดูอยู่บนรถจักรยานยนต์มิได้เข้าไปเกี่ยวข้อง และที่นายจ.เข้าไปเกี่ยวข้องเนื่องจากนางสาวส.เรียกให้ช่วย แสดงให้เห็นว่าจำเลยมิได้สมคบกับนาย ม.หรือ นายจ.เพื่อทำร้ายผู้เสียหายมาก่อนและการพานาย ม.ออกไปจากที่เกิดเหตุหลังจากเลิกชกต่อยกันแล้วจะถือว่าจำเลยช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่นาย ม.ก่อนหรือขณะกระทำผิดหาได้ไม่ จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยเป็นผู้สนับสนุนการกระทำผิด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกอีก 2 คนที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้องร่วมกันใช้กำลังประทุษร้ายกอดปล้ำ ชกต่อย และใช้ขวดสุราชนิดขวดแบนเป็นอาวุธทุบตีที่บริเวณใบหน้า ศีรษะและร่างกายของนักเรียนนายร้อยตำรวจวีระศักดิ์ กรอบสนิท จนเป็นเหตุให้รับอันตรายแก่กาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295, 83 ริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295, 86 ให้จำคุก 4 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่าในคืนเกิดเหตุนายมนใช้ขวดสุราตีทำร้ายร่างกายนักเรียนนายร้อยตำรวจวีระศักดิ์ กรอบสนิท ผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กาย ผู้เสียหายและนายมนชกต่อยกอดปล้ำกันนาน 3 นาทีแล้วนายมนขึ้นรถจักรยานยนต์ของจำเลยหลบหนีไป ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่าจำเลยเป็นผู้สนับสนุนการกระทำผิดหรือไม่ โจทก์มีผู้เสียหายนางสาวนฤมล ผลมะขาม และนางสาวสุปราณี ไตลังคะ เบิกความทำนองเดียวกันว่าเมื่อผู้เสียหายและนายมนชกต่อยกอดปล้ำกันได้ประมาณ 3 นาที จำเลยได้ขับรถจักรยานยนต์มาที่เกิดเหตุ โดยมีนายจู้นั่งซ้อนท้าย นางสาวสุปราณีเรียกให้นายจู้ช่วยห้ามและให้เอาตัวนายมนไป นายจู้ลงจากรถจักรยานยนต์เข้ารวบตัวผู้เสียหายนายมนชกต่อยผู้เสียหาย 2-3 ครั้ง แล้วขึ้นรถจักรยานยนต์ของจำเลยหลบหนีไป เห็นว่า ผู้เสียหายกับนายมนชกต่อยกอดปล้ำกันนานถึง 3นาทีแล้วจำเลยจึงได้ขับรถจักรยานยนต์มาที่เกิดเหตุและนั่งดูอยู่บนรถจักรยานยนต์มิได้เข้าไปเกี่ยวข้องเลย ที่นายจู้เข้าไปเกี่ยวข้องก็เนื่องจากนางสาวสุปราณีเรียกให้ช่วย แสดงให้เห็นว่าจำเลยมิได้สมคบกับนายมนหรือนายจู้เพื่อทำร้ายผู้เสียหายมาก่อน และการที่จำเลยนำนายมนออกไปจากที่เกิดเหตุหลังจากผู้เสียหายกับนายมนเลิกชกต่อยกอดปล้ำกันแล้ว จะถือว่าจำเลยช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่นายมนก่อนหรือขณะกระทำผิดหาได้ไม่ คดีจึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยเป็นผู้สนับสนุนการกระทำผิด
พิพากษายืน

Share