คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1048/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ลงชื่อในหนังสือมอบอำนาจเพื่อให้จำเลยที่ 1 นำที่พิพาทไปจำนอง จำเลยที่ 1 นำหนังสือมอบอำนาจไปทำนิติกรรมโอนขายที่พิพาทให้แก่ตนเอง หนังสือมอบอำนาจที่จำเลยที่ 1 นำไปใช้ทำนิติกรรมซื้อขายที่พิพาทจึงเป็นเอกสารปลอม ต้องถือว่านิติกรรมการซื้อขายที่พิพาทมิได้เกิดขึ้น กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทคงเป็นของโจทก์ จำเลยที่ 1 ไม่มีสิทธิขายฝากที่พิพาท แม้จำเลยที่ 2 และที่ 3 จะจดทะเบียนรับซื้อฝากที่พิพาทจากจำเลยที่ 1 ไว้โดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนหรือไม่ก็ตาม จำเลยที่ 2 และที่ 3 ก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์โจทก์จึงมีสิทธิขอให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายและขายฝากที่จำเลยที่ 1ทำไปได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพร้อมบ้าน3 หลัง จำเลยที่ 1 ใช้อุบายหลอกลวงโจทก์ โจทก์หลงเชื่อ จึงมอบโฉนดที่ดิน และหนังสือมอบอำนาจที่ยังไม่ได้กรอกข้อความ ซึ่งโจทก์เซ็นชื่อมอบอำนาจแล้วให้จำเลยที่ 1 เพื่อนำที่ดินไปจำนองธนาคารจำเลยที่ 1 กรอกข้อความลงในหนังสือมอบอำนาจดังกล่าวว่าโจทก์มอบให้จำเลยที่ 1 มีอำนาจจัดการขายที่ดินของโจทก์ตลอดจนให้ถ้อยคำต่าง ๆ ต่อเจ้าหน้าที่ และยอมให้ทำนิติกรรมในนามของตนเองได้ด้วยโดยไม่ได้รับความยินยอมของโจทก์ แล้วนำไปทำนิติกรรมโอนขายที่ดินให้แก่ตนเอง ต่อมาจำเลยทั้งสามได้สมคบกันฉ้อฉลโจทก์โดยจำเลยที่ 1 ได้ทำนิติกรรมขายฝากที่ดินของโจทก์ให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ขอให้พิพากษาให้นิติกรรมซื้อขายระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 เป็นโมฆะ ให้เพิกถอนนิติกรรมขายฝากระหว่างจำเลยที่ 1กับจำเลยที่ 2 และที่ 3 และให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ไปโอนโฉนดที่ดินคืน หากไม่ปฏิบัติตาม ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ และขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้การว่า ได้รับซื้อฝากที่พิพาทไว้โดยสุจริต เสียค่าตอบแทน และจดทะเบียนโดยสุจริต โจทก์ไม่อาจขอให้เพิกถอนได้ ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม และโจทก์ฟ้องเกิน 1 ปีนับแต่ทราบว่าจำเลยทั้งสองได้กรรมสิทธิ์ที่พิพาทโดยจดทะเบียนถูกต้องจึงขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับให้เพิกถอนการซื้อขายระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 และการขายฝากระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2และที่ 3
จำเลยที่ 2 และที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว โจทก์มีตัวโจทก์นายนรินทร์ ยามณี และนายอินสม ไชยซาววงศ์ เป็นพยานเบิกความยืนยันว่า โจทก์ลงชื่อในหนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย จ.2 เพื่อให้จำเลยที่ 1 นำที่พิพาทไปจำนองธนาคารกับมีบันทึกคำเบิกความของพลตำรวจตรีบุญจิตต์ และนางนาตยา ในคดีอาญาของศาลแขวงเชียงใหม่ ตามเอกสารหมาย จ.6 และ จ.7 เป็นหลักฐานประกอบว่าโจทก์ต้องการได้เงินมาใช้จัดสรรที่ดินแปลงใหญ่ที่อำเภอสันกำแพงจึงให้จำเลยที่ 1 นำที่พิพาทไปจำนองธนาคารกสิกรไทย สาขาถนนราชวงศ์ ความข้อนี้จำเลยที่ 2 และที่ 3 มิได้นำสืบพยานโต้แย้ง จึงเชื่อได้ตามพยานหลักฐานของโจทก์ว่าหนังสือมอบอำนาจที่จำเลยที่ 1 นำไปใช้ทำนิติกรรมซื้อขายที่พิพาทเป็นเอกสารปลอมต้องถือว่า นิติกรรมการซื้อขายที่พิพาทมิได้เกิดขึ้น กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทคงเป็นของโจทก์ ไม่ตกเป็นของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1ไม่มีสิทธิขายฝากที่พิพาท แม้จำเลยที่ 2 และที่ 3 จะจดทะเบียนรับซื้อฝากที่พิพาทจากจำเลยที่ 1 ไว้โดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนหรือไม่ก็ตาม จำเลยที่ 2 และที่ 3 ก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์ โจทก์จึงมีสิทธิขอให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายและขายฝากที่จำเลยที่ 1ทำไปได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาให้เพิกถอนการซื้อขายระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 และการขายฝากระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2และที่ 3 ศาลฎีกาเห็นด้วยในผล เมื่อวินิจฉัยดังนี้ ปัญหาตามฎีกาของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ที่ว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ฉ้อฉลโจทก์หรือไม่ และโจทก์ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงหรือไม่ จึงไม่จำต้องวินิจฉัย ฎีกาจำเลยที่ 2และที่ 3 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share