คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 925/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่จำเลยที่ 1 จัดบริการให้แก่ลูกค้าซึ่งไปรับประทานอาหารที่ภัตตาคารของจำเลยที่ 1 โดยให้จำเลยที่ 2 ต้อนรับ เอากุญแจรถยนต์ขับรถยนต์เข้าที่จอดและเคลื่อนย้ายรถยนต์หากมีรถยนต์คันอื่นเข้าออกในบริเวณภัตตาคาร ออกใบรับที่จดหมายเลขทะเบียนรถยนต์และรับกุญแจรถยนต์ของลูกค้าเก็บไว้ การที่จำเลยที่ 1 ปฏิบัติเช่นนี้ถือได้แล้วว่าเป็นการฝากทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 653 จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ในปัญหาว่าจำเลยที่ 1 รับฝากทรัพย์หรือไม่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าเป็นการฝากทรัพย์โดยมีบำเหน็จ ดังนี้ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยโดยเห็นด้วยในประเด็นเรื่องฝากทรัพย์แล้วเพียงแต่วินิจฉัยต่อไปว่าเป็นการฝากทรัพย์โดยมีบำเหน็จ ซึ่งก็ยังอยู่ในประเด็นที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ว่า จำเลยทั้งสองจะต้องรับผิดต่อโจทก์หรือไม่ จึงมิใช่เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์กับพวกได้ไปรับประทานอาหารที่ภัตตาคารของจำเลยที่ 1 โดยได้ขับขี่รถยนต์ดังกล่าวไปจอดที่ร้านอาหารของจำเลยที่ 1 มีจำเลยที่ 2 ลูกจ้างของจำเลยที่ 1 ช่วยจัดการจอดรถยนต์เก็บกุญแจรถยนต์และได้ออกไปรับฝากรถยนต์ให้โจทก์ไว้ เมื่อโจทก์กับพวกรับประทานอาหารเสร็จ โจทก์กับพวกจะเอารถยนต์กลับบ้านปรากฏว่ารถยนต์ของโจทก์ได้หายไป จำเลยที่ 2 ผู้มีหน้าที่รับฝากดูแลรถยนต์ของลูกค้า ในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1 ผู้เป็นนายจ้างมิได้ใช้ความระมัดระวังในการเก็บรถยนต์ของลูกค้าให้เพียงพอ ทำให้รถยนต์หายไปดังกล่าว ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ราคารถยนต์พร้อมอุปกรณ์ ค่าขาดประโยชน์ในการใช้รถยนต์ ค่าเสียหายเป็นดอกเบี้ยรวมเป็นเงิน 220,388 บาท แก่โจทก์ และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ในต้นเงิน 217,668 บาทนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระค่าเสียหายให้แก่โจทก์เสร็จ
จำเลยทั้งสองให้การและแก้ไขคำให้การว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ลักษณะฝากทรัพย์ไม่มีบทบัญญัติให้นายจ้างต้องร่วมรับผิดกับลูกจ้าง ในกรณีที่ลูกจ้างได้กระทำความเสียหายโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยที่ 1 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 2จำเลยที่ 2 เป็นลูกจ้างทำหน้าที่ต้อนรับลูกค้าในภัตตาคารของจำเลยที่ 1 ทำหน้าที่อำนวยความสะดวกจัดที่จอดรถยนต์ให้แก่ลูกค้าลูกค้าจะมอบกุญแจรถยนต์ให้แก่จำเลยที่ 2 หรือไม่ก็ได้ หากลูกค้ามอบกุญแจรถยนต์ให้แก่จำเลยที่ 2 ก็เป็นความสะดวกในการที่จะเคลื่อนย้ายรถยนต์มิให้กีดขวางในการเข้าออกของรถยนต์คันอื่นการที่จำเลยที่ 2 ออกใบรับกุญแจที่กรอกหมายเลขทะเบียนรถยนต์มอบให้แก่โจทก์ซึ่งเป็นลูกค้าก็เพื่อจะคืนกุญแจรถยนต์ให้แก่โจทก์ได้ถูกต้องเท่านั้น ไม่ใช่เป็นการรับฝากรถยนต์และมิได้เก็บค่าบริการจำเลยที่ 2 นำรถยนต์ของโจทก์ไปจอดไว้ในบริเวณหน้าภัตตาคารเมื่อจอดแล้วจำเลยที่ 2 ได้ปิดล็อกประตูรถยนต์ไว้เป็นการใช้ความระมัดระวังในการเก็บรถยนต์เช่นเดียวกับรถยนต์ของจำเลยที่ 2 เองการที่รถยนต์ของโจทก์ถูกคนร้ายลักไป มิใช่ความประมาทเลินเล่อของจำเลยทั้งสอง จำเลยทั้งสองจึงไม่ต้องใช้ราคารถยนต์และอุปกรณ์โจทก์เรียกค่าขาดประโยชน์และค่าเสียหายสูงเกินไป ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 140,000 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินจำนวนดังกล่าวนับแต่วันที่ 28 มิถุนายน 2530 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระแก่โจทก์เสร็จ
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยที่ 1ข้อแรกว่า การกระทำของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวเป็นการรับฝากทรัพย์หรือไม่ เห็นว่า การที่จำเลยที่ 1 จัดบริการให้แก่ลูกค้าโดยเฉพาะอย่างยิ่งโจทก์ซึ่งไปรับประทานอาหารที่ภัตตาคารของจำเลยที่ 1 โดยให้จำเลยที่ 2 ต้อนรับ เอากุญแจรถยนต์ ขับรถยนต์เข้าที่จอดและเคลื่อนย้ายรถยนต์หากมีรถยนต์คันอื่นเข้าออกในบริเวณภัตตาคารของจำเลยที่ 1 ออกใบรับที่จดหมายเลขทะเบียนรถยนต์และรับกุญแจรถยนต์ของโจทก์เก็บไว้ การที่จำเลยที่ 1 ปฏิบัติเช่นนี้ ย่อมก่อให้เกิดความมั่นใจแก่ลูกค้าของจำเลยที่ 1 ที่มารับประทานอาหารว่ารถยนต์ของตนจะได้การดูแลให้ปลอดภัย ตามพฤติการณ์ถือได้แล้วว่าเป็นการฝากทรัพย์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 657 ซึ่งจำเลยที่ 1ผู้รับฝากจะต้องดูแลระมัดระวังสงวนทรัพย์สินที่ฝากนั้นเหมือนเช่นที่เคยประพฤติในกิจการของตนเอง ที่จำเลยที่ 1 อ้างว่าทำเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ลูกค้านั้นฟังไม่ขึ้น สำหรับข้อที่ว่าจำเลยที่ 1ได้ใช้ความระมัดระวังเพียงพอหรือไม่นั้น ข้อนี้มีจำเลยที่ 2เบิกความลอย ๆ แต่เพียงว่าจำเลยที่ 2 ได้ล็อกประตูรถยนต์ทั้งสองด้านเปิดออกไม่ได้และรถยนต์จอดอยู่ห่างจากหน้าภัตตาคารประมาณ 25 เมตรมีแสงไฟฟ้าส่องสว่างสามารถมองเห็นได้เท่านั้น จึงไม่มีน้ำหนักน่าเชื่อ เช่นนี้ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้ดูแลหรือใช้ความระมัดระวังสงวนทรัพย์สินซึ่งฝากนั้นเหมือนเช่นที่เคยประพฤติในกิจการของตนแต่อย่างใด เมื่อรถยนต์โจทก์หายไป จำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ข้อที่จำเลยที่ 1 อ้างว่าจำเลยทั้งสองได้อุทธรณ์ในปัญหาที่ว่าจำเลยที่ 1 รับฝากทรัพย์หรือไม่ แต่ศาลอุทธรณ์กลับวินิจฉัยว่าเป็นการฝากทรัพย์โดยมีบำเหน็จ เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นนั้น เห็นว่า ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยโดยเห็นด้วยในประเด็นเรื่องฝากทรัพย์แล้ว เพียงแต่วินิจฉัยต่อไปว่าเป็นการฝากทรัพย์โดยมีบำเหน็จ ซึ่งก็ยังอยู่ในประเด็นที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ว่า จำเลยทั้งสองจะต้องรับผิดต่อโจทก์หรือไม่ จึงมิใช่เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นดังที่จำเลยที่ 1 เข้าใจ กระบวนพิจารณาของศาลอุทธรณ์จึงไม่เสียไป…”
พิพากษายืน

Share