แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ผู้ร้องเป็นนิติบุคคลประกอบกิจการอยู่กรุงเทพมหานคร ให้ ส.เช่าซื้อรถยนต์ของกลางไป ส่วนจำเลยได้กระทำผิดในต่างจังหวัดซึ่งอยู่ห่างไกล ผู้ร้องไม่อาจทราบได้ว่า จำเลยจะเอารถยนต์ของกลางไปกระทำผิดเมื่อใด และโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานมาสืบให้เห็นว่าผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจอย่างไร จึงฟังไม่ได้ว่าผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำผิด สิทธิในการได้รถยนต์ของกลางคืนของผู้ร้องเป็นข้อผูกพันตามสัญญาเช่าซื้อที่ได้กำหนดไว้ตามกฎหมาย ซึ่งผู้ให้เช่าซื้อมีสิทธิบังคับตามข้อสัญญาได้และผู้ให้เช่าซื้อจะใช้สิทธิดังกล่าวหรือไม่ก็ได้ ไม่ถือเป็นพฤติการณ์ที่แสดงว่าผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิด
ย่อยาว
กรณีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3ตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติและพระราชบัญญัติป่าไม้และริบรถยนต์กระบะของกลาง
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์กระบะบรรทุกยี่ห้อมิตซูบิชิหมายเลขทะเบียน 4ห-1490 กรุงเทพมหานครของกลางและมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำผิดดังกล่าว ขอให้สั่งคืนรถยนต์ของกลางแก่ผู้ร้อง
โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า ผู้ร้องไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์ของกลาง จึงไม่มีสิทธิร้องขอคืนของกลาง และผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจในการกระทำผิด ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้คืนรถยนต์กระบะบรรทุกยี่ห้อมิตซูบิชิ หมายเลขทะเบียน 4ห-1490 กรุงเทพมหานคร ของกลางให้แก่ผู้ร้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาตามที่โจทก์ฎีกาข้อแรกว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าของรถยนต์ของกลางหรือไม่ เห็นว่า ผู้ร้องมีนายโยธินเกษมทรัพย์ กรรมการบริษัทผู้ร้อง นายอดิศัย สร้อยสมบุญนายวินัย เที่ยงวงศ์ นายวิโรจน์ นาวี และนางสาวบุศรินทร์รัตนไชยเชษฐ์ เป็นพยานเบิกความตรงกันว่า รถยนต์ของกลางเป็นของผู้ร้องตามหนังสือใบคู่มือจดทะเบียนของสำนักงานขนส่งจังหวัดกรุงเทพมหานครเอกสารหมาย ร.3 และผู้ร้องได้ให้นายสมใจพุ่มเพชร เช่าซื้อไปตามเอกสารหมาย ร.4 และ ป.ร.4 ซึ่งโจทก์ไม่ได้นำสืบหักล้างเอกสารดังกล่าว จึงฟังได้ว่าผู้ร้องเป็นเจ้าของรถยนต์ของกลาง ปัญหาที่โจทก์ฎีกาต่อไปว่า ผู้ร้องมีส่วนรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดหรือไม่ ได้ความว่าผู้ร้องเป็นนิติบุคคลประกอบกิจการอยู่กรุงเทพมหานครได้ให้นายสมใจ พุ่มเพ็ชรเช่าซื้อรถยนต์ของกลางไป ส่วนจำเลยได้กระทำความผิดในเขตจังหวัดตาก ซึ่งอยู่ห่างไกลมาก ผู้ร้องย่อมไม่อาจทราบได้ว่าจำเลยจะเอารถยนต์ของกลางไปกระทำความผิดเมื่อใด และโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานมาสืบให้เห็นว่าผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจอย่างไร จึงฟังไม่ได้ว่าผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำผิด ในข้อที่โจทก์ฎีกาว่าผู้ร้องต้องการได้ค่าเช่าซื้อมากกว่าได้รถยนต์คืนและผู้ร้องสามารถฟ้องบังคับคดีแพ่งเอาจากนายสมใจ พุ่มเพ็ชร ลูกหนี้และนายนุชฤทัยรัตน์ ผู้ค้ำประกันเพื่อชำระหนี้ให้ผู้ร้องได้อยู่แล้วเห็นว่า สิทธิในการได้รถยนต์ของกลางคืนของผู้ร้องเป็นข้อผูกพันตามสัญญาเช่าซื้อที่ได้กำหนดกันไว้ตามกฎหมาย ซึ่งผู้ให้เช่าซื้อมีสิทธิบังคับตามข้อสัญญาได้และผู้ให้เช่าซื้อจะใช้สิทธิดังกล่าวหรือไม่ก็ได้ ไม่ถือเป็นพฤติการณ์ที่แสดงว่าผู้ร้องได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิด ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน