แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
หลังจาก ต. มารดาได้ลงชื่อโจทก์จำเลยและ ป. ซึ่งเป็นบุตรทั้งสาม เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมในที่ดินในปี 2511 แล้ว ต.มารดาก็ยังคงครอบครองบ้านพิพาทอย่างเป็นเจ้าของแต่ผู้เดียวต่อไป แม้บ้านพิพาทจะเป็นส่วนควบของที่ดินซึ่งกรรมสิทธิ์ในบ้านจะเป็นของโจทก์จำเลยและ ป. ด้วยโดยผลของกฎหมายและ ต. มารดาไม่ทราบการครอบครองบ้านพิพาทของ ต.มารดาก็เป็นการครอบครองโดยปรปักษ์ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ในส่วนของโจทก์จำเลยและ ป. ก่อนที่ ต.มารดาจะถึงแก่ความตายได้ยกบ้านพิพาทให้จำเลยซึ่งอาศัยอยู่ในบ้านพิพาทอยู่แล้ว การที่จำเลยอยู่ในบ้านพิพาทต่อมาจำเลยย่อมครอบครองบ้านพิพาทโดยเจตนาเป็นเจ้าของต่อจาก ต. มารดา เมื่อรวมระยะเวลาครอบครองเกิน10 ปีแล้ว บ้านพิพาทย่อมตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยแต่ผู้เดียว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินและบ้าน ห้ามมิให้เกี่ยวข้อง และเรียกค่าเสียหาย
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยได้ครอบครองปรปักษ์ที่ดินและบ้านแล้ว โจทก์ไม่มีสิทธิขับไล่ ให้โจทก์แบ่งแยกที่ดินบริเวณที่ตั้งของบ้านออกจากโฉนดที่ดินและโอนให้จำเลย หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของโจทก์
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยขออาศัยอยู่ในที่ดินและบ้านเท่านั้น
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์ดำเนินการ แบ่งแยกที่ดินบริเวณตั้งบ้าน เนื้อที่ประมาณ 1 งาน ออกจากโฉนดที่ดินและโอนให้จำเลย หากโจทก์ไม่ปฏิบัติ ให้โจทก์ส่งมอบโฉนดที่ดินให้จำเลยและให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของโจทก์ในการแบ่งแยกที่ดิน
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้ขับไล่จำเลยและบริวารของจำเลยออกจากที่ดิน และส่งมอบที่ดินและบ้านให้แก่โจทก์ห้ามมิให้จำเลยและบริวารเกี่ยวข้องกับที่ดินและบ้าน และให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินโฉนดเลขที่ 6737 มีชื่อโจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ บ้านพิพาทปลูกสร้างอยู่บนที่ดินพิพาท ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยมีว่า ที่ดินพิพาทและบ้านพิพาทเป็นของโจทก์หรือจำเลย ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าโจทก์ได้ยกที่ดินพิพาทให้จำเลยตั้งแต่ปี 2517 และจำเลยได้ครอบครองที่ดินพิพาทโดยสงบเปิดเผย และโดยเจตนาเป็นเจ้าของจนเกิน 10 ปีแล้ว ที่ดินพิพาทจึงเป็นของโจทก์ไม่ใช่ของจำเลย ส่วนบ้านพิพาทนั้นข้อเท็จจริงฟังได้ว่าหลังจากนางตี่ผู้เป็นมารดาได้ลงชื่อโจทก์จำเลยและนางประสงค์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมในที่ดินโฉนดเลขที่6737 ในปี 2511 นางตี่ก็ยังครอบครองบ้านพิพาทอย่างเป็นเจ้าของแต่ผู้เดียวต่อไป แม้บ้านพิพาทจะเป็นส่วนควบของที่ดินกรรมสิทธิ์ในบ้านจะเป็นของโจทก์จำเลยและนางประสงค์ด้วยโดยผลของกฎหมายและนางตี่ไม่ทราบ การครอบครองบ้านพิพาทของนางตี่ก็เป็นการครอบครองโดยปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1382 ในส่วนของโจทก์จำเลยและนางประสงค์ เมื่อได้ความว่าก่อนตายนางตี่ยกบ้านพิพาทให้จำเลย จำเลยอยู่ในบ้านพิพาทอยู่แล้ว การที่จำเลยอยู่ในบ้านพิพาทต่อจากนางตี่บอกยกให้ย่อมเป็นการครอบครองโดยเจตนาเป็นเจ้าของต่อจากนางตี่ โจทก์มาฟ้องจำเลยภายหลังจากนางตี่ลงชื่อโจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมในที่ดินโฉนดเลขที่ 6737 เกิน 10 ปีแล้วบ้านพิพาทย่อมตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยแต่ผู้เดียว เมื่อบ้านพิพาทเป็นของจำเลยโจทก์ก็ไม่มีสิทธิจะเรียกค่าเสียหายจากการขาดค่าเช่าบ้านพิพาทจากจำเลย
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำขอของโจทก์ที่เกี่ยวกับบ้านพิพาทเสียทั้งหมด นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2