แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
คำให้การในชั้นสอบสวนของพยานที่โจทก์ไม่สามารถนำมาเบิกความในชั้นพิจารณา เป็นเพียงพยานบอกเล่า มิได้ทำต่อหน้าศาลและต่อหน้าจำเลย เป็นคำให้การที่พยานมิได้สาบานตนตามลัทธิศาสนาต่อหน้าศาล มิได้ผ่านการถามค้านเพื่อกระจายข้อเท็จจริงสำหรับค้นคว้าหาความจริงโดยละเอียดตามกระบวนความ จึงมีน้ำหนักน้อยในการที่ศาลจะรับฟัง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้อง ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 60,80, 83, 91, 288 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา(ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2526 มาตรา 4
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80, 83, 60 กระทงแรกฐานร่วมกันฆ่านายสมบูรณ์ให้จำคุกตลอดชีวิต ฐานร่วมกันฆ่านายสายัณห์และพยายามฆ่าผู้เสียหายกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบทลงโทษบทหนักให้จำคุกตลอดชีวิต เมื่อระบุโทษทุกกระทงแล้ว คงลงโทษจำคุกตลอดชีวิตตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 คำขออื่นยก
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่าในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง คนร้ายได้ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายทั้งสองถึงแก่ความตายและผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บ มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่าจำเลยทั้งสองได้กระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า โจทก์มีผู้เสียหายเบิกความเป็นประจักษ์พยานว่าจำเลยที่ 1 เป็นคนร้ายเพียงปากเดียวโดยเบิกความว่า ขณะจะเกิดเหตุผู้เสียหายกำลังนั่งอยู่ที่หัวบันไดชานบ้านที่เกิดเหตุ จำเลยที่ 1 กับนายขวัญเรียงพี่ชายของจำเลยที่ 1 มาขอนั่งด้วย แต่ไม่ยอมนั่งกลับพากันยืนอยู่ที่พื้นดินมองไปยังผู้ตายทั้งสองซึ่งนอนอยู่ข้างประตู มองดูอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมงก็พากันเดินไปทางทิศตะวันตกของบ้านผู้เสียหายลงจากบ้านจะเอาน้ำมันไปเติมเครื่องปั่นไฟ ระหว่างอยู่ห่างจากบันไดประมาณ 4 เมตร ได้ยินเสียงปืนดังที่บ้านเกิดเหตุ1 นัด และเห็นนายขวัญเรียงถืออาวุธปืนสั้นกระโดดลงจากบ้านวิ่งเข้าป่าไปทางด้านทิศตะวันออกพร้อมกับจำเลยที่ 1 ปรากฏว่าขณะเกิดเหตุมีการเล่นดนตรีและมีคนเต้นรำกันอยู่หลายคน จำเลยที่ 1ประสงค์จะฆ่าผู้ตายไม่น่าจะต้องไปยืนดูผู้ตายให้ผู้เสียหายและผู้ที่อยู่ในวงเต้นรำเห็นเป็นเวลานานมากเช่นนั้น ซึ่งเป็นเรื่องผิดปกติวิสัยของคนร้ายที่เมื่อเห็นผู้ตายแล้วไม่ขึ้นไปยิงเสียในทันที ยิ่งจำเลยที่ 1 ไม่ได้ขึ้นไปยิงผู้ตายด้วยแล้วก็น่าจะหลบอยู่ในเงามืดไม่ควรแสดงตัวอยู่ในที่สว่างและวิ่งหลบหนีไปพร้อมกับนายขวัญเรียงอย่างโจ่งแจ้งเพื่อให้คนเห็นเช่นนี้ สำหรับนางยุพาภรณ์ ทองแก้ว พยานซึ่งโจทก์อ้างว่ารู้เห็นเหตุการณ์ไม่ได้ตัวมาเบิกความแต่ได้ให้การไว้ในชั้นสอบสวน ตามเอกสารหมายจ.8 ว่า หลังจากนายขวัญเรียงกระโดดลงจากบ้านหลบหนีไปแล้ว จำเลยทั้งสองกับพวกออกมาจากที่ซุ่มในที่มืดระดมยิงใส่นายสายัณห์ผู้ตาย คำเบิกความของผู้เสียหายจึงไม่เจือสมกับคำให้การในชั้นสอบสวนของนางยุพาภรณ์ดังกล่าวมา เกิดเหตุแล้วผู้เสียหายไม่ได้แจ้งแก่เจ้าพนักงานตำรวจว่าจำเลยทั้งสองเป็นคนร้าย เพิ่งให้การกับเจ้าพนักงานตำรวจหลังจากจำเลยที่ 1 ถูกจับกุม และเป็นเวลาภายหลังที่บิดาผู้เสียหายถูกนายคล่องซึ่งเป็นพี่น้องกับจำเลยที่ 1 ยิงแล้ว ส่วนที่นายสุวิทย์ อมรชาติ พยานโจทก์เบิกความว่า ในคืนเกิดเหตุทราบว่าจำเลยทั้งสองเป็นคนร้ายจากหญิงคนหนึ่งซึ่งก็ไม่ปรากฏว่าหญิงคนนั้นเป็นใคร นายสุวิทย์ได้ไปแจ้งความในวันรุ่งขึ้นจากวันเกิดเหตุต่อร้อยตำรวจโทสำเนา แก้วบัวทองว่าคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายถึงแก่ความตาย มิได้ระบุว่าจำเลยทั้งสองเป็นคนร้ายแต่อย่างใด ร้อยตำรวจโทสำเนาได้ไปตรวจที่เกิดเหตุ ซึ่งนางยุพาภรณ์นำชี้อยู่ด้วยก็เบิกความว่ายังไม่ทราบว่าใครเป็นคนร้าย ดังนี้คำเบิกความของผู้เสียหายดังกล่าวจึงยังมีเหตุสงสัยอยู่ว่าจะมิได้รู้เห็นจำเลยที่ 1 เป็นคนร้ายอยู่ในที่เกิดเหตุจริง สำหรับนางยุพาภรณ์พยานที่รู้เห็นว่าจำเลยทั้งสองเป็นคนร้ายโจทก์ไม่สามารถนำมาเบิกความในชั้นพิจารณาได้ คำให้การชั้นสอบสวนของนางยุพาภรณ์ที่โจทก์ส่งเป็นพยานต่อศาลตามเอกสารหมาย จ.8 เป็นเพียงพยานบอกเล่า มิได้ทำต่อหน้าศาลและต่อหน้าจำเลยทั้งสอง เป็นคำให้การที่พยานมิได้สาบานตนตามลัทธิศาสนาต่อหน้าศาล มิได้ผ่านการถามค้านเพื่อกระจายข้อเท็จจริงสำหรับค้นคว้าหาความจริงโดยละเอียดตามกระบวนความ มีน้ำหนักน้อย ด้วยเหตุนี้พยานหลักฐานของโจทก์จึงไม่อาจรับฟังมาลงโทษจำเลยทั้งสองได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกฟ้องนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน