คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 767/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามคำของ พ. ได้ความว่า เห็นจำเลยเดินวนเวียนอยู่ในที่เกิดเหตุ และตามคำของ ส.ก็คงได้ความว่าเมื่อไปถึงที่เกิดเหตุเห็นผู้ตายกับผู้เสียหายถูกทำร้ายนอนอยู่ มีจำเลยถือไม้เดินอยู่บริเวณนั้น แต่ไม่ทราบว่าใครเป็นคนทำร้ายด้วยสาเหตุอะไร ส่วน ณ.แม้จะเบิกความว่าเห็นจำเลยใช้ไม้เข้าร่วมชุลมุนตีกันด้วย แต่ก็ตอบคำซักค้านของทนายจำเลยว่าไม่ทราบว่าใครจะเป็นผู้ตีทำร้ายผู้เสียหายเพราะตีกันยุ่งไปหมดทั้งตามคำของพนักงานสอบสวนประกอบรายงานการชันสูตรพลิกศพก็ได้ความว่าคนร้ายที่ร่วมกันทำร้ายผู้ตายกับผู้เสียหายคือ อ.กับพวก ไม่มีจำเลยร่วมทำร้ายด้วย คำของ ณ.ไม่แน่นอนขัดแย้งกับคำของพนักงานสอบสวน ไม่น่าเชื่อว่า ณ.รู้เห็นว่าจำเลยเป็นคนร้ายจริงโจทก์จึงมีเพียงคำรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนของจำเลยเท่านั้น ซึ่งจำเลยโต้เถียงอยู่ว่าถูกบังคับขู่เข็ญให้รับสารภาพ คดีฟังลงโทษจำเลยไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองฐานร่วมกันฆ่าผู้ตายและพยายามฆ่าผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 288,80, 83, 91
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 288, 80 83 การกระทำของจำเลยที่ 2 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91ฐานฆ่าผู้อื่น จำคุก 15 ปี ฐานพยายามฆ่าผู้อื่น จำคุก 10 ปี รวมจำคุก 25 ปี จำเลยที่ 2 รับสารภาพในชั้นสอบสวน เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 16 ปี 8 เดือน ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 เสียด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ฎีกาอ้างว่าพยานหลักฐานโจทก์อันมีคำเบิกความของนายไพรัตน์หรือแดง รอดจันทร์ นายสุชาติชูแก้ว นายณรงค์ ศรีนิลสิทธิ์ และคำให้การรับสารภาพของจำเลยที่ 2 ในชั้นจับกุมและสอบสวน นั้นรับฟังลงโทษจำเลยที่ 2 ได้ข้อเท็จจริงตามคำเบิกความของนายไพรัตน์ นายไพรัตน์มิได้รู้เห็นว่าขณะเกิดเหตุที่มีการตีกันนั้นมีใครตีกันบ้าง คงได้ความเกี่ยวกับจำเลยที่ 2 อยู่บ้างเพียงว่า หลังจากมีการตีกันและนำคนเจ็บลงเรือไปแล้ว เห็นจำเลยที่ 2 เดินวนเวียนอยู่บริเวณที่เกิดเหตุเท่านั้น คำเบิกความของนายไพรัตน์จึงไม่อาจจะฟังได้ว่าจำเลยที่ 2ร่วมตีทำร้ายผู้ตายกับผู้เสียหาย กลับได้ความตามคำเบิกความของนายไพรัตน์ด้วยว่า หลังเกิดเหตุแล้ว จำเลยที่ 2 ก็พักอาศัยอยู่ที่บ้านตามปกติ อันเป็นข้อเท็จจริงที่ทำให้เห็นว่าจำเลยที่ 2ไม่น่าจะได้กระทำความผิดตามที่ฟ้อง ถ้ากระทำผิดในขณะที่ผู้คนรู้เห็นหลายคนตามสภาพที่เกิดเหตุ จำเลยที่ 2 คงจะต้องหลบหนีไปแล้วและตามคำเบิกความของนายสุชาติคงได้ข้อเท็จจริงเพียงว่าขณะเกิดเหตุตีกันนั้น นายสุชาติไม่เห็นเพียงแต่ได้ยินเสียงคล้ายคนทะเลาะวิวาทกันเมื่อไปถึงที่เกิดเหตุก็เห็นผู้ตายกับผู้เสียหายซึ่งถูกทำร้ายนอนอยู่ และเห็นจำเลยที่ 2 ถือไม้เดินอยู่บริเวณนั้นใครจะเป็นคนตีทำร้ายผู้ตายกับผู้เสียหาย เนื่องมาจากสาเหตุอะไรนายสุชาติไม่ทราบ คำเบิกความของนายสุชาติจึงไม่อาจจะฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 ร่วมเป็นคนร้ายตีผู้ตายกับผู้เสียหาย ส่วนนายณรงค์เบิกความได้ข้อเท็จจริงว่า พวกที่ตีทำร้ายผู้ตายกับผู้เสียหายคือพวกที่นั่งดื่มสุรากันอยู่ที่หน้าบ้านนายไพรัตน์จำเลยที่ 2 ไม่ได้ร่วมวงดื่มสุราที่หน้าบ้านนายไพรัตน์ด้วยที่นายณรงค์เบิกความตอบโจทก์ว่าเห็นจำเลยที่ 2 ได้ใช้ไม้เข้าไปร่วมชุลมุนตีกันด้วย ก็ไม่ได้ความว่าจำเลยที่ 2 เข้ามาร่วมในตอนใดและในตอนที่ตอบคำถามค้านของทนายจำเลยที่ 2 ก็เบิกความว่า ใครจะเป็นผู้ตีทำร้ายผู้เสียหาย พยานไม่ทราบเพราะตีกันยุ่งไปหมด และตามคำเบิกความของร้อยตำรวจเอกธีรยุทธ สันติวิสิฏฐ์ พนักงานสอบสวนที่ทำการสอบสวนในวันเกิดเหตุก็ได้ความว่า คนร้ายที่ร่วมกันทำร้ายผู้ตายกับผู้เสียหายคือนายอำนาจ นายสุชาติและนายปรีชาไม่มีจำเลยที่ 2 เป็นคนร้ายที่ร่วมทำร้ายด้วย ดังนั้น การที่นายณรงค์เบิกความถึงเรื่องที่จำเลยที่ 2 เป็นคนร้าย กลับไปกลับมาไม่เป็นที่แน่นอนและขัดแย้งกับตัวคนร้ายที่ได้ความจากคำเบิกความของร้อยตำรวจเอกธีรยุทธเช่นนี้ จึงไม่มีเหตุผลพอที่จะทำให้เชื่อได้ว่านายณรงค์รู้เห็นว่าจำเลยที่ 2 เป็นคนร้ายจริง เมื่อคำเบิกความของพยานทั้งสามของโจทก์รับฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 เป็นคนร้ายตามที่ได้กล่าวแล้ว โจทก์จึงมีเพียงคำรับสารภาพชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 2 ตามเอกสารหมาย จ.9 และ จ.10 เท่านั้น ซึ่งคำรับของจำเลยที่ 2 ดังกล่าวนั้น จำเลยที่ 2 ก็นำสืบว่า ถูกบังคับขู่เข็ญให้รับสารภาพ และเมื่อได้พิจารณาข้อเท็จจริงจากคำรับสารภาพของจำเลยที่ 2 ตามเอกสารหมาย จ.10 ก็มีข้อเท็จจริงที่แตกต่างไปจากข้อเท็จจริงจากคำเบิกความของร้อยตำรวจเอกธีรยุทธและรายงานการชันสูตรพลิกศพท้ายคำฟ้อง กล่าวคือ ในบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนเอกสารหมาย จ.10 นั้น จำเลยที่ 2 รับว่าผู้ที่ร่วมทำร้ายผู้ตายและผู้บาดเจ็บคือจำเลยที่ 2 และนายสุชาติ เท่านั้น แต่ในรายงานการชันสูตรพลิกศพระบุชื่อผู้ที่ทำให้ตายคือ นายนาด พิดาจันและนายชาติ พิดาจัน ร่วมกันใช้ไม้ตีผู้ตาย ไม่มีจำเลยที่ 2 อยู่ด้วยส่วนตามคำเบิกความของร้อยตำรวจเอกธีรยุทธระบุว่าคนร้ายคือนายอำนาจ นายสุชาติ นายปรีชา ดังนั้นการที่คำรับสารภาพชั้นจับกุมและสอบสวนของจำเลยที่ 2 ที่ยังมีข้อโต้เถียงกันอยู่ว่าจะได้มาโดยชอบหรือไม่ และข้อเท็จจริงที่อ้างว่าจำเลยที่ 2 รับนั้นก็เป็นการแตกต่างกับข้อเท็จจริงที่ได้จากพยานหลักฐานอื่นของโจทก์เองเช่นนี้ กรณีจึงไม่อาจจะนำเอาเอกสารหมาย จ.9 และ จ.10 มาเป็นพยานหลักฐานเพื่อฟังว่าจำเลยที่ 2 ได้กระทำผิดตามที่ฟ้องได้
พิพากษายืน

Share