คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 756/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ตามสัญญาข้อ 8 วรรคแรก ให้สิทธิแก่ผู้ซื้อในกรณีผู้ขายไม่ส่งมอบสิ่งของที่ตกลงขายให้แก่ผู้ซื้อหรือส่งมอบไม่ถูกต้องหรือไม่ครบจำนวน โดยผู้ซื้อมีสิทธิ บอกเลิกสัญญาได้ และถ้าผู้ซื้อใช้สิทธิบอกเลิกสัญญา ผู้ซื้อก็มีสิทธิตามสัญญาข้อ 8 วรรคสองที่จะริบหลักประกันและมีสิทธิได้รับชดใช้ราคาที่เพิ่มขึ้น หากจัดซื้อสิ่งของจากบุคคลอื่นภายในกำหนด 3 เดือน นับแต่วันบอกเลิกสัญญา ส่วนตามสัญญาข้อ 9 วรรคแรก เป็นกรณีที่ผู้ซื้อมิได้ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาตามข้อ 8 ผู้ซื้อมีสิทธิปรับผู้ขายเป็นรายวันในอัตราร้อยละ 0.2 ของราคาสิ่งของที่ยังไม่ได้รับมอบจนกว่าจะส่งมอบครบถ้วน แต่ในระหว่างที่มีการปรับ ถ้าผู้ซื้อเห็นว่าผู้ขายไม่อาจปฏิบัติตามสัญญาต่อไปได้ ตามสัญญาข้อ 9 วรรคสามให้สิทธิผู้ซื้อบอกเลิกสัญญา ริบหลักประกันและเรียกร้องให้ชดใช้ราคาที่เพิ่มขึ้นตามสัญญาข้อ 8 วรรคสอง นอกเหนือจากการปรับเป็นรายวัน ดังนั้น การที่โจทก์ซึ่งเป็นผู้ซื้อจะเรียกค่าปรับเป็นรายวันได้ต้องเป็นกรณีที่จำเลยส่งมอบสิ่งของไม่ถูกต้องหรือไม่ครบจำนวนเท่านั้น แต่คดีนี้จำเลยไม่ส่งมอบสิ่งของที่ตกลงขายให้โจทก์เลย มิใช่ไม่ส่งมอบสิ่งของให้ถูกต้องครบถ้วน จึงไม่ต้องด้วยสัญญาข้อ 9 เมื่อโจทก์ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญา แม้ระยะเวลาจะล่วงเลยมานานก็เป็นการบอกเลิกสัญญาตามข้อ 8 และโจทก์มีสิทธิตามสัญญาข้อ 8 วรรคสอง เมื่อไม่ใช่เป็นการบอกเลิกสัญญาตามสัญญาข้อ 9โจทก์จึงปรับจำเลยเป็นรายวันไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทำสัญญาซื้อขายเครื่องช่วยหายใจสำหรับเด็กเล็กจำนวน 1 เครื่อง ราคา 279,500 บาท กับจำเลย กำหนดส่งมอบในวันที่ 12 พฤศจิกายน 2527 ถ้าผู้ขายไม่ส่งมอบในกำหนดยอมให้ผู้ซื้อปรับเป็นรายวันอัตราร้อยละ 0.2 ของราคาสิ่งของที่ยังส่งมอบไม่ครบหรือถ้าผู้ซื้อบอกเลิกสัญญาให้คิดค่าปรับได้จนถึงวันเลิกสัญญาและมีสิทธิริบหลักประกันกับเรียกให้ผู้ขายใช้ราคาสิ่งของที่เพิ่มขึ้น และเพื่อเป็นประกัน ผู้ขายนำหนังสือค้ำประกันของธนาคารทหารไทย จำกัด จำนวน 27,950 บาท มอบให้ผู้ซื้อเป็นหลักประกัน ต่อมาจำเลยผิดสัญญาไม่ส่งมอบสิ่งของให้โจทก์ โจทก์จึงมีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยและธนาคารทหารไทย จำกัด ชำระเงินค่าค้ำประกันและมีสิทธิปรับตามสัญญาเป็นรายวันและมีสิทธิให้จำเลยชำระราคาสิ่งของในกรณีที่โจทก์ต้องซื้อจากบุคคลอื่นในราคาที่เพิ่มขึ้น ต่อมาโจทก์บอกเลิกสัญญาและแจ้งให้จำเลยทราบว่าโจทก์จะริบหลักประกัน กับให้จำเลยชำระค่าปรับเป็นรายวันในอัตราร้อยละ0.2 ของราคาสิ่งของ รวม 382 วัน เป็นเงิน 213,538 บาท แต่จำเลยไม่ชำระ โจทก์ได้ทวงถามให้ธนาคารทหารไทย จำกัด ชำระเงินตามจำนวนที่ค้ำประกัน ธนาคารได้ชำระเงินให้โจทก์แล้วจำนวน 27,950บาท โจทก์ซื้อสิ่งของชนิดเดียวกันนี้จากบริษัทเทคนิกัลอีควิ๊ปเม้นท์ จำกัด เป็นเงิน 295,000 บาท เพิ่มขึ้นจากที่ตกลงซื้อกับจำเลยจำนวน 15,500 บาท จำเลยจึงต้องชำระราคาที่เพิ่มขึ้นให้โจทก์ตามสัญญา เมื่อรวมกับค่าปรับรายวันจำนวน 213,538บาท แล้วเป็นเงินที่จำเลยต้องชำระแก่โจทก์ 229,038 บาท ขอให้จำเลยชำระเงินจำนวน 229,038 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า จำเลยทำสัญญาซื้อขายกับโจทก์ แต่ไม่ต้องรับผิดเพราะตามสัญญาข้อ 8 ข้อ 9 เมื่อผู้ขายผิดสัญญาไม่ส่งมอบสินค้าให้ผู้ซื้อ ผู้ซื้อมีสิทธิบอกเลิกสัญญาและริบหลักประกันตามข้อ 8 หรือผู้ซื้อปรับผู้ขายเป็นรายวันอัตราร้อยละ 0.2 ของราคาสินค้า และเมื่อเห็นว่าผู้ขายไม่สามารถส่งมอบสินค้าได้ก็บอกเลิกสัญญาริบหลักประกันเพิ่มได้ตามข้อ 9 ในคดีนี้โจทก์ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาและริบหลักประกัน จะใช้สิทธิเรียกร้องให้จำเลยเสียค่าปรับภายหลังไม่ได้ เพราะโจทก์มีสิทธิเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง และจำเลยไม่ต้องรับผิดชำระราคาสินค้าที่โจทก์ซื้อจากบุคคลอื่นเพิ่มขึ้นอีก 15,500 บาท เนื่องจากพ้นกำหนด 3 เดือน นับแต่วันบอกเลิกสัญญา ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมคือโจทก์ฟ้องเรียกค่าปรับหรือค่าเสียหายซึ่งกำหนดไว้ล่วงหน้า แต่โจทก์ไม่ได้บรรยายว่าเสียหายอะไร และเสียหายอย่างไร การที่โจทก์ริบหลักประกันจำนวน 27,950 บาท ย่อมเป็นการเหมาะสมกับความเสียหายที่โจทก์ได้รับ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 15,500 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยจะต้องรับผิดชำระค่าปรับเป็นรายวันให้โจทก์ตามฟ้องหรือไม่ พิเคราะห์แล้ว ตามสัญญาซื้อขายเอกสารหมาย จ.3 ข้อ 8 ระบุว่า “เมื่อครบกำหนดส่งมอบสิ่งของตามสัญญานี้แล้ว ถ้าผู้ขายไม่ส่งมอบสิ่งของที่ตกลงขายให้แก่ผู้ซื้อ หรือส่งมอบสิ่งของทั้งหมดไม่ถูกต้อง หรือส่งมอบสิ่งของไม่ครบจำนวน ผู้ซื้อมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้
ในกรณีที่ผู้ซื้อใช้สิทธิบอกเลิกสัญญา ผู้ขายยอมให้ผู้ซื้อริบหลักประกันหรือเรียกร้องจากธนาคารผู้ออกหนังสือค้ำประกันตามสัญญาข้อ 7 เป็นจำนวนเงินทั้งหมด หรือแต่บางส่วนก็ได้ แล้วแต่ผู้ซื้อจะเห็นสมควร และถ้าผู้ซื้อจัดซื้อสิ่งของจากบุคคลอื่นเต็มจำนวน หรือเฉพาะจำนวนที่ขาดส่งแล้วแต่กรณี ภายในกำหนด 3 เดือนนับแต่วันที่บอกเลิกสัญญา โดยให้นับวันที่บอกเลิกสัญญาเป็นวันเริ่มต้น ผู้ขายยอมรับผิดชดใช้ราคาที่เพิ่มขึ้นจากราคาที่กำหนดไว้ในสัญญานี้ด้วย”
และในข้อ 9 วรรคแรก ระบุว่า “ในกรณีที่ผู้ซื้อไม่ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาตามสัญญาข้อ 8 ผู้ขายยอมให้ผู้ซื้อปรับเป็นรายวันในอัตราร้อยละ 0.2 ของราคาสิ่งของที่ยังไม่ได้รับมอบ นับแต่วันถัดจากวันครบกำหนดตามสัญญา จนถึงวันที่ผู้ขายได้นำสิ่งของมาส่งให้แก่ผู้ซื้อจนถูกต้องครบถ้วน” และวรรคสาม ระบุว่า “ในระหว่างที่มีการปรับนั้น ถ้าผู้ซื้อเห็นว่าผู้ขายไม่อาจปฏิบัติตามสัญญาต่อไปได้ ผู้ซื้อจะใช้สิทธิบอกเลิกสัญญา และริบหลักประกันหรือเรียกร้องจากธนาคารผู้ออกหนังสือค้ำประกันตามสัญญาข้อ 7 กับเรียกร้องให้ชดใช้ราคาที่เพิ่มขึ้นตามที่กำหนดไว้ในสัญญาข้อ 8 วรรคสอง นอกเหนือจากการปรับจนถึงวันบอกเลิกสัญญาด้วยก็ได้” เห็นว่า ตามสัญญาข้อ 8วรรคแรก ให้สิทธิแก่ผู้ซื้อในกรณีที่ผู้ขายไม่ส่งมอบสิ่งของที่ตกลงขายให้แก่ผู้ซื้อหรือส่งมอบไม่ถูกต้องหรือไม่ครบจำนวน โดยผู้ซื้อมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ และถ้าผู้ซื้อใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาผู้ซื้อก็มีสิทธิตามสัญญาข้อ 8 วรรคสอง โดยผู้ซื้อมีสิทธิริบหลักประกันและมีสิทธิได้รับชดใช้ราคาที่เพิ่มขึ้น หากจัดซื้อสิ่งของจากบุคคลอื่นภายในกำหนด 3 เดือนนับแต่วันบอกเลิกสัญญาส่วนตามสัญญาข้อ 9 วรรคแรก เป็นกรณีที่ผู้ซื้อมิได้ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาตามข้อ 8 ผู้ซื้อมีสิทธิปรับผู้ขายเป็นรายวันในอัตราร้อยละ0.2 ของราคาสิ่งของที่ยังไม่ได้รับมอบนับแต่วันถัดจากวันครบกำหนดตามสัญญาจนถึงวันที่ผู้ขายส่งมอบถูกต้องครบถ้วน แต่ในระหว่างที่มีการปรับนั้นถ้าผู้ซื้อเห็นว่าผู้ขายไม่อาจปฏิบัติตามสัญญาต่อไปได้ ตามสัญญาข้อ 9 วรรคสามให้สิทธิแก่ผู้ซื้อบอกเลิกสัญญาริบหลักประกัน และเรียกร้องให้ชดใช้ราคาที่เพิ่มขึ้นตามสัญญาข้อ 8 วรรคสอง นอกเหนือจากการปรับเป็นรายวัน ดังนี้จะเห็นได้ว่า การที่โจทก์ซึ่งเป็นผู้ซื้อจะเรียกค่าปรับเป็นรายวันได้ต้องเป็นกรณีที่จำเลยซึ่งเป็นผู้ขายส่งมอบสิ่งของไม่ถูกต้องหรือไม่ครบจำนวนเท่านั้น เพราะตอนท้ายของสัญญาตามข้อ 9 วรรคแรก ระบุว่า จนถึงวันที่ผู้ขายได้นำสิ่งของมาส่งให้แก่ผู้ซื้อจน “ถูกต้องครบถ้วน” แต่สำหรับคดีนี้เป็นกรณีที่จำเลยไม่ส่งมอบสิ่งของที่ตกลงขายให้แก่โจทก์เลย มิใช่ไม่ส่งมอบสิ่งของให้ถูกต้องครบถ้วนกรณีจึงไม่ต้องด้วยข้อสัญญาข้อ 9 เมื่อโจทก์ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญา แม้ระยะเวลาจะล่วงเลยมานานก็เป็นการบอกเลิกสัญญาตามสัญญาข้อ 8 โจทก์มีสิทธิตามสัญญาข้อ 8 วรรคสอง และเมื่อไม่ใช่เป็นการบอกเลิกสัญญาตามสัญญาข้อ 9 โจทก์จึงปรับจำเลยเป็นรายวันไม่ได้ศาลล่างทั้งสองพิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share