คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 741/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทสหกรณ์การเกษตร มีจำเลยที่ 1เป็นผู้จัดการ จำเลยที่ 3 เป็นกรรมการและเลขานุการคณะกรรมการดำเนินการ และเป็นคนหนึ่งในจำนวน 5 คน ผู้มีอำนาจถอนเงินของโจทก์จากธนาคาร การถอนเงินตั้งแต่ 10,000 บาท มีระเบียบให้แจ้งให้พนักงานส่งเสริมสหกรณ์ทราบ จำเลยที่ 1 นำเช็คไปให้จำเลยที่ 3ลงชื่อร่วมเพื่อถอนเงินจากธนาคาร ในขณะที่จำเลยที่ 3 จะเข้าประชุมกรรมการสมาคมณาปนกิจสงเคราะห์สมาชิกเกษตรนางรอง จำเลยที่ 3ให้นายห. สมาชิกของโจทก์ไปกับจำเลยที่ 1 ส่วนการแจ้งต่อพนักงานส่งเสริมสหกรณ์นั้นแม้สมควรต้องเป็นหน้าที่ของจำเลยที่ 1ซึ่งเป็นผู้จัดการ แต่จำเลยที่ 3 ก็ได้กำชับจำเลยที่ 1 ให้แจ้งพนักงานส่งเสริมสหกรณ์เสียก่อน แต่จำเลยที่ 1 ก็ไม่แจ้ง ถือว่าจำเลยที่ 3 ใช้ความระมัดระวังในการปฏิบัติหน้าที่ตามสมควรที่วิญญูชนทั่วไปจะพึงกระทำแล้ว ไม่ประมาทเล่นเลิอ จึงไม่ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์ ในการที่จำเลยที่ 1 ถอนเงินมาแล้วยักยอกเงินไป

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทสหกรณ์การเกษตร มีคณะกรรมการดำเนินการ 15 คน โจทก์ทำสัญญาว่าจ้างจำเลยที่ 1ให้กระทำการในตำแหน่งผู้จัดการ จำเลยที่ 3 เป็นสมาชิกโจทก์ และได้รับเลือกให้เป็นกรรมการดำเนินการ มีตำแหน่งเป็นเลขานุการคณะกรรมการดำเนินการและผูกพันตนกับโจทก์ในการปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับ โจทก์ได้เปิดบัญชีเงินฝากไว้กับธนาคารพาณิชย์หลายแห่งรวมทั้งธนาคารกสิกรไทย สาขานางรอง คณะกรรมการดำเนินการได้ลงมติแต่งตั้งให้จำเลยที่ 1 ที่ 3 นายแก้ว นายบัวลา และนายนพดลเป็นผู้มีอำนาจลงลายมือชื่อในการถอนเงินจากธนาคารต่าง ๆ ได้โดยในการถอนเงินต้องมีบุคคลที่ได้รับแต่งตั้งลงลายมือชื่อ 2 ใน 5ของผู้มีอำนาจ จำเลยที่ 1 และที่ 3 จึงได้ร่วมกันลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คของธนาคารกสิกรไทย สาขานางรอง จำนวนเงิน 650,000 บาทจากบัญชีกระแสรายวันของโจทก์ และด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของจำเลยที่ 3 ที่ไม่ปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับ และประเพณีปฏิบัติของโจทก์ จำเลยที่ 3 ได้ให้จำเลยที่ 1 นำเช็คดังกล่าวไปขึ้นเงินที่ธนาคารแต่ผู้เดียว เมื่อธนาคารจ่ายเงินตามเช็คให้จำเลยที่ 1 แล้ว จำเลยที่ 1 ได้เอาเงินทั้งหมดของโจทก์จำนวน 650,000 บาท ไปเป็นประโยชน์ของตนโดยไม่มีสิทธิและหลบหนีไปขอให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 ร่วมกันชดใช้เงินให้โจทก์จำนวน526,974.17 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของเงิน 520,000 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ
ระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นโจทก์ขอถอนฟ้องจำเลยที่ 2ศาลชั้นต้นอนุญาต
จำเลยที่ 3 ให้การว่า จำเลยที่ 3 ได้รับเลือกให้เป็นเลขานุการของคณะกรรมการโจทก์ และมีที่ประชุมใหญ่ลงมติให้จำเลยที่ 3มีสิทธิลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คร่วมกับกรรมการโจทก์คนใดคนหนึ่งได้การปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยที่ 3 มิได้รับเงินเดือนหรือค่าตอบแทนจากโจทก์แต่อย่างใด จำเลยที่ 3 ได้ลงลายมือชื่อในเช็คร่วมกับจำเลยที่ 1 จริง ซึ่งเป็นการปฏิบัติตามมติของโจทก์ที่มอบหมายหน้าที่ให้ และจำเลยที่ 3 ได้ปฏิบัติหน้าที่โดยชอบ ไม่ได้ประมาทเลินเล่อตามที่โจทก์ฟ้อง การที่เกิดความเสียหายขึ้นครั้งนี้เป็นเพราะจำเลยที่ 1 ทุจริตแต่เพียงผู้เดียว จำเลยที่ 3จึงไม่ต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระดอกเบี้ยแก่โจทก์ในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน 460,000 บาทนับตั้งแต่วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2530 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จยกฟ้องจำเลยที่ 3
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 3 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ชำระเงิน 460,000 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงินดังกล่าวนับตั้งแต่วันที่4 กุมภาพันธ์ 2530 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นให้จำเลยที่ 3 รับผิดใช้แทนโจทก์เพียงกึ่งหนึ่งนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการของโจทก์ มีหน้าที่จะต้องปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับและคำสั่งของโจทก์หรือบุคคลที่โจทก์มอบหมาย โดยได้รับเงินเดือนจากโจทก์ ส่วนจำเลยที่ 3 เป็นกรรมการและเลขานุการคณะกรรมการดำเนินการของโจทก์ และเป็นคนหนึ่งในจำนวน 5 คน ที่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้มีอำนาจหน้าที่ฝากเงินและถอนเงินของโจทก์จากธนาคารโดยต้องลงชื่อร่วมกัน 2 คน จำเลยที่ 1 ได้ลงชื่อร่วมกับจำเลยที่ 3 ถอนเงินโดยสั่งจ่ายเช็คธนาคารกสิกรไทย สาขานางรอง จำนวนเงิน 650,000 บาทเพื่อนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรสาขาบุรีรัมย์ แต่จำเลยที่ 1 ถอนเงินมาแล้วได้เบียบบังเอาเงินจำนวนดังกล่าวไปเป็นประโยชน์ของตนโดยมิชอบ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย มีปัญหาว่า จำเลยที่ 3 จะต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1ชำระเงินให้แก่โจทก์ด้วยหรือไม่ ในเบื้องต้นจำเป็นจะต้องวินิจฉัยว่า การที่จำเลยที่ 3 ลงชื่อร่วมกับจำเลยที่ 1 ถอนเงินของโจทก์จากธนาคารกสิกรไทย สาขานางรอง เพื่อจะนำไปชำระหนี้ให้แก่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร สาขาบุรีรัมย์แล้วถูกจำเลยที่ 1 ยักยอกเอาเงินจำนวนดังกล่าวไปนั้น เป็นเพราะความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 3 หรือไม่ ข้อเท็จจริงในคดีนี้ปรากฏว่า จำเลยที่ 1 ที่ 3 ลงลายมือชื่อในใบถอนเงิน (เช็ค)ในวันเดียวกันมิได้ลงชื่อไว้ล่วงหน้า ถือว่าจำเลยที่ 3 ได้ปฏิบัติถูกต้องตามระเบียบแล้ว สำหรับคำสั่งของนายทะเบียนสหกรณ์ที่ว่าการรับและส่งเงินสดหรือจ่ายเงินสดของสหกรณ์ ถ้าจำเลยเงินตั้งแต่10,000 บาท ขึ้นไปต้องแจ้งให้พนักงานส่งเสริมสหกรณ์ทราบนั้นมีปรากฏอยู่ในบันทึกรายงานการประชุมคณะกรรมการเอกสารหมาย จ.8ระเบียบวาระที่ 8 ซึ่งจำเลยที่ 1 ที่ 3 ก็ได้เข้าร่วมประชุมด้วยจึงทราบระเบียบปฏิบัติดังกล่าวแล้ว แต่ตามระเบียบดังกล่าวมิได้ระบุว่าใครจะต้องเป็นคนไปแจ้ง ดังนั้นในการถอนเงินรายนี้เพียงแต่ผู้ลงลายมือชื่อถอนเงินคนใดคนหนึ่ง เป็นผู้ไปแจ้งต่อพนักงานส่งเสริมสหกรณ์ ก็ย่อมถือได้ว่าได้ปฏิบัติตามมติของที่ประชุมและคำสั่งของนายทะเบียนสหกรณ์แล้ว กรณีในคดีนี้จำเลยที่ 1 ซึ่งมีตำแหน่งเป็นผู้จัดการของโจทก์ มีหน้าที่ต้องปฏิบัติกิจการของโจทก์ให้ถูกต้องตามระเบียบข้อบังคับ ข้อ 54(3) และในขณะที่จำเลยที่ 1นำเช็คไปให้จำเลยที่ 3 ลงลายมือชื่อร่วมกับจำเลยที่ 1 นั้น จำเลยที่ 3 กำลังจะเข้าประชุมกรรมการสมาคมณาปนกิจสงเคราะห์สมาชิกเกษตรนางรอง จำเลยที่ 3 ได้ให้นายห่วง จันทร์ดง ซึ่งเป็นสมาชิกของโจทก์เป็นตัวแทนของจำเลยที่ 3 ไปถอนเงินกับจำเลยที่ 1ด้วย จึงเห็นได้ว่าจำเลยที่ 3 ได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแล้วส่วนหน้าที่ในการแจ้งต่อพนักงานส่งเสริมสหกรณ์ในภาวะเช่นนั้นสมควรต้องเป็นหน้าที่ของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3 ก็ได้สั่งกำชับจำเลยที่ 1 แล้วว่าก่อนไปถอนเงินให้แจ้งพนักงานส่งเสริมสหกรณ์เสียก่อน อีกทั้งจำเลยที่ 1 เองก็ทราบระเบียบข้อนี้ดีอยู่แล้ว ฉะนั้น ในพฤติการณ์เช่นนี้ต้องถือว่าจำเลยที่ 3ได้ใช้ความระมัดระวังในการปฏิบัติหน้าที่ตามสมควรที่วิญญูชนทั่วไปพึงกระทำแล้ว จำเลยที่ 3 มิได้ประมาทเลินเล่อ และการกระทำของจำเลยที่ 3 ดังกล่าวก็มิได้ส่อพิรุธให้เห็นว่าจำเลยที่ 3ได้ร่วมกระทำผิดกับจำเลยที่ 1 แต่อย่างใด จำเลยที่ 3 จึงไม่ต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 ชำระเงินแก่โจทก์
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 3 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1

Share