คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 493/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่โจทก์เป็นนิติบุคคลได้รับอนุญาตจากทางราชการให้ประกอบธุรกิจซื้อขายแลกเปลี่ยนรถยนต์ ไม่ได้ทำให้ที่ทำการของโจกท์มีสภาพเป็นท้องตลาดสำหรับขายรถยนต์ไปด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์รับซื้อรถยนต์จากนายสมัคร นักธรรม และชำระราคาครบถ้วนแล้ว แต่ยังไม่ได้มีการโอนชื่อในทะเบียนมาเป็นชื่อโจทก์ ต่อมาจำเลยทั้งหกยึดรถคันดังกล่าวของโจทก์โดยอ้างว่าอยู่ระหว่างตรวจสอบว่ารถคันดังกล่าวเป็นรถที่ได้มาจากการปล้นทรัพย์หรือไม่ หากตรวจสอบว่าใช่จะต้องคืนให้เจ้าของที่แท้จริง แต่โจทก์ซื้อรถคันดังกล่าวมาโดยสุจริตและเป็นการซื้อขายกันตามท้องตลาดซึ่งเป็นไปในทางการค้าของโจทก์ โจทก์จึงมีสิทธิครอบครองและยึดหน่วงจนกว่าเจ้าของแท้จริงจะชดใช้ราคาค่ารถให้โจทก์ ขอให้ศาลบังคับให้จำเลยทั้งหกคืนรถยนต์ให้โจทก์
จำเลยทั้งหกให้การว่า รถยนต์คันพิพาทเป็นของบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์คอมเมอร์เชียลทรัสต์ จำกัด ถูกคนร้ายปล้นไป โจทก์รับซื้อไว้โดยประมาทเลินเล่อและมิได้ซื้อจากพ่อค้าซึ่งขายของชนิดนั้น จึงไม่มีสิทธิยึดหน่วง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่ได้โต้เถียงกันฟังได้เป็นยุติว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัด ได้รับอนุญาตจากทางราชการให้ประกอบธุรกิจในการซื้อขายแลกเปลี่ยนรถยนต์ โจทก์รับซื้อรถยนต์พิพาทไว้จากนายสมัครซึ่งนำมาขายให้แก่โจทก์ ณ ที่ทำการของโจทก์ ไม่ได้ความว่าที่ทำการของโจทก์เป็นท้องตลาด การที่โจทก์ซึ่งเป็นนิติบุคคลได้รับอนุญาตจากทางราชการให้ประกอบธุรกิจซื้อขายแลกเปลี่ยนรถยนต์นั้น ไม่ได้ทำให้ที่ทำการของโจทก์มีสภาพเป็นท้องตลาดสำหรับขายรถยนต์ไปด้วย โจทก์จึงไม่ได้รับความคุ้มครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1332จำเลยทั้งหกมีอำนาจยึดรถยนต์พิพาทไว้ประกอบคดีและคืนให้เจ้าของที่แท้จริงได้
พิพากษายืน

Share