แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ที่ดินโจทก์ถูกที่ดินของจำเลยและบุคคลอื่นล้อมรอบอยู่แม้จะปรากฏว่าโจทก์เคยใช้ที่ดินของ บ. เดินออกสู่ทางสาธารณะแต่เป็นการขอเดินผ่านเข้าออกในขณะที่จำเลยปิดกั้นทางพิพาท จำเลยเคยฟ้องโจทก์ให้เปิดทางจำเป็นในที่ดินของโจทก์เพื่อให้จำเลยสามารถเดินจากที่ดินของจำเลยแปลงซึ่งอยู่ติดกับที่ดินโจทก์ด้านทิศเหนือเพื่อผ่านไปยังที่ดินของจำเลยอีกแปลงหนึ่งซึ่งอยู่ทางด้านทิศใต้ของที่ดินโจทก์แล้วออกสู่ทางสาธารณะโดยมิได้ฟ้อง บ. กับบุคคลอื่นที่มีที่ดินติดกับจำเลยให้เปิดทางจำเป็นแก่จำเลย เป็นการยอมรับว่าทางพิพาทเป็นทางที่ออกสู่ทางสาธารณะใกล้ที่สุดและสะดวกมากกว่าทางอื่น จึงฟังได้ว่าทางพิพาทเป็นทางจำเป็นสำหรับที่ดินโจทก์จำเลยเคยฟ้องให้โจทก์เปิดทางจำเป็นในที่ดินของโจทก์ให้จำเลยผ่านกว้าง 2 เมตร และเป็นทางแนวเดียวกับทางพิพาทขนาดทางกว้าง2 เมตร เหมาะสมแก่การใช้ประโยชน์ตามสภาพบ้านเมืองในปัจจุบันแล้ว บทบัญญัติ ป.พ.พ. มาตรา 1349 มิได้บังคับให้ผู้มีสิทธิผ่านทางจำเป็นในที่ดินของผู้อื่นนั้นต้องเสนอใช้ค่าทดแทนก่อนจึงจะใช้สิทธิได้ โจทก์มีอำนาจฟ้องเรียกเอาทางจำเป็นโดยไม่ต้องเสนอให้ค่าทดแทนแก่จำเลยก่อน โจทก์ไม่ได้เสนอค่าทดแทนแก่จำเลย และจำเลยไม่ได้ฟ้องแย้งเรียกค่าทดแทนจากโจทก์ คดีจึงไม่มีประเด็นที่ศาลจะวินิจฉัยในเรื่องค่าทดแทน และปัญหานี้มิใช่ปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยปัญหาดังกล่าวมาจึงไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 142 และถือว่าเป็นข้อที่ไม่ได้ว่ากล่าวกันมาในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ต้องห้ามฎีกาตามป.วิ.พ. มาตรา 249 ปัญหาว่าผู้มีสิทธิใช้ทางจำเป็นต้องใช้ค่าทดแทนแก่เจ้าของที่ดินตาม ป.พ.พ. มาตรา 1349 หรืออาจไม่ต้องใช้ค่าทดแทนตามมาตรา 1350 ไม่เป็นประเด็นวินิจฉัยในคดีนี้ จึงชอบที่จำเลยจะไปว่ากล่าวในเรื่องค่าทดแทนจากโจทก์เป็นอีกคดีหนึ่งต่างหากรูปคดีมีเหตุผลอันสมควรที่ศาลจะระบุในคำพิพากษาให้ชัดเจนว่าไม่ตัดสิทธิจำเลยที่จะไปว่ากล่าวในเรื่องค่าทดแทนจากโจทก์เป็นอีกคดีหนึ่งต่างหาก และคำพิพากษาดังกล่าวไม่ได้บังคับให้โจทก์ต้องใช้ค่าทดแทนแก่จำเลยในคดีนี้ จึงไม่เป็นการพิพากษาเกินคำขอของจำเลย ไม่ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า ที่ดินของโจทก์ถูกที่ดินของจำเลยและที่ดินของผู้อื่นปิดล้อมไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะ โจทก์บอกจำเลยให้เปิดทางแล้ว แต่จำเลยไม่ยอม ขอให้บังคับจำเลยเปิดทางจำเป็นผ่านที่ดินของจำเลยทั้งสองแปลงดังกล่าวทางด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ยาวตลอดแนวที่ดินมีความกว้าง 2 เมตร ตามแผนผังเอกสารท้ายคำฟ้องและห้ามจำเลยปิดกั้นทางจำเป็นดังกล่าวตลอดไป
จำเลยให้การว่า โจทก์สามารถใช้ทางเดินด้านทิศตะวันออกของที่ดินของโจทก์ออกสู่ทางสาธารณะได้ โจทก์ฟ้องคดีนี้เพราะต้องการกลั่นแกล้งจำเลย เนื่องจากจำเลยเป็นโจทก์ฟ้องขอให้โจทก์เปิดทางจำเป็นในที่ดินของโจทก์แปลงดังกล่าว โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะมิได้เสนอค่าทดแทนความเสียหายแก่จำเลยในการใช้ที่ดินของจำเลย และโจทก์ไม่มีความจำเป็นต้องใช้ทางกว้างถึง 2 เมตร ถ้าโจทก์จะเดินผ่านที่ดินของจำเลยกว้าง 1 เมตร ยาวตลอดแนวที่ดิน จะต้องจ่ายค่าเสียหายและค่าเสียหายรายปี ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยเปิดทางจำเป็นกว้าง 2 เมตร ในที่ดินของจำเลยตามแผนผังท้ายคำฟ้อง ห้ามจำเลยปิดกั้นทางจำเป็นดังกล่าว
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่ตัดสิทธิจำเลยที่จะว่ากล่าวในเรื่องค่าทดแทนจากโจทก์เป็นอีกคดีหนึ่งต่างหาก นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังเป็นยุติว่าที่ดินของโจทก์และจำเลยเดิมรวมอยู่ในที่ดินแปลงเดียวกัน คือโฉนดเลขที่ 586 ซึ่งตั้งอยู่ตำบลวัดท่าพระ อำเภอบางกอกใหญ่กรุงเทพมหานคร แล้วได้แบ่งแยกออกเป็นหลายแปลงโดยโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 10611 เนื้อที่ 47 ตารางวาทางด้านทิศใต้ของที่ดินโจทก์ติดกับที่ดินของจำเลยโฉนดเลขที่ 586และถัดไปเป็นที่ดินของจำเลยโฉนดเลขที่ 7488 ซึ่งแบ่งแยกมาจากโฉนดเลขที่ 586 เช่นกัน จำเลยได้ทำถนนคอนกรีตในที่ดินของจำเลยเพื่อออกสู่ทางภารจำยอมซึ่งอยู่ในที่ดินแปลงอื่นแต่ได้จดทะเบียนภารจำยอมไว้เพื่อประโยชน์แก่ที่ดินของจำเลย โดยใช้เป็นทางออกสู่ถนนอำนวยสุขอันเป็นทางสาธารณะ ส่วนทางด้านทิศเหนือของที่ดินโจทก์ติดที่ดินโฉนดเลขที่ 11864 และโฉนดเลขที่ 11865 ของจำเลยอีก 2 แปลง ด้านทิศตะวันออกติดที่ดินของนางสาวบุญศรีเกื้อเกียรติงาม และด้านทิศตะวันตกติดที่ดินของนายเทียม คดีมีปัญหาที่จะวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า ทางพิพาทเป็นทางจำเป็นสำหรับที่ดินของโจทก์หรือไม่ และมีความกว้างเพียงใด ได้ความจากโจทก์ว่าโจทก์ซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 10611 มาจากนางทองใบ กลั่นผลหรั่งที่ดินแปลงนี้ไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะโดยมีที่ดินของจำเลยและบุคคลอื่นล้อมรอบอยู่ ทางเดินออกสู่ทางสาธารณะที่ใกล้ที่สุดต้องใช้ทางพิพาทผ่านที่ดินโฉนดเลขที่ 586 และโฉนดเลขที่ 7488ของจำเลย ซึ่งเป็นทางคอนกรีต เมื่อโจทก์ซื้อที่ดินแปลงนี้จากนางทองใบแล้วก็ได้ใช้ทางพิพาทออกสู่ทางสาธารณะ ปัจจุบันนี้จำเลยได้ทำรั้วปิดกั้นทางพิพาท โจทก์ไม่มีทางใดออกสู่ทางสาธารณะข้อเท็จจริงที่โจทก์เบิกความนี้ นางทองใบเจ้าของที่ดินเดิมก็เบิกความสนับสนุนว่า พยานอยู่ในที่ดินโฉนดเลขที่ 10611 มา 10กว่าปีแล้ว ได้เดินผ่านทางในที่ดินของจำเลยออกสู่ทางสาธารณะตลอดมาเพราะที่ดินโฉนดเลขที่ 10611 ไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะและนายวัลลภ พันธ์แก้ว พยานโจทก์อีกปากหนึ่ง ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินโแนดเลขที่ 7486 อยู่ติดกับที่ดินของจำเลยก็เบิกความว่าเจ้าของเดิมในที่ดินของโจทก์ต่างก็ใช้ทางพิพาทเดินออกไปสู่ทางสาธารณะ ทั้งเมื่อพิจารณาเอกสารหมาย จ.4 และรายงานการเผชิญสืบของศาลชั้นต้น ลงวันที่ 14 พฤศจิกายน 2529 มาประกอบด้วยแล้ว แสดงให้เห็นประจักษ์ชัดว่า ที่ดินของโจทก์ถูกที่ดินของจำเลยและบุคคลอื่นล้อมรอบอยู่แม้จะปรากฏว่า โจทก์เคยใช้ที่ดินของนางสาวบุญศรี เกื้อเกียรติงาม เดินออกสู่ทางสาธารณะ แต่เป็นการขอเดินผ่านเข้าออกในขณะที่จำเลยปิดกั้นทางพิพาทและนางสาวบุญศรีก็เบิกความยืนยันว่า ที่ดินของพยานกับที่ดินของโจทก์มีรั้วกั้นอยู่ สภาพที่ดินเป็นสวนมีคูกั้นแนวเขตตลอด การออกสู่ทางสาธารณะผ่านทางพิพาทใกล้ที่สุด จำเลยก็ให้การรับว่า ที่ดินของโจทก์ไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะได้เพราะมีที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่และเบิกความรับว่า นางน้อย นางเชื้อและนางทองใบซึ่งเคยอยู่ในที่ดินของโจทก์มาก่อนต่างก็เคยใช้ทางพิพาทออกไปสู่ทางสาธารณะ ทั้งจำเลยเคยฟ้องโจทก์ให้เปิดทางจำเป็นในที่ดินของโจทก์เพื่อให้จำเลยสามารถเดินจากที่ดินของจำเลยโฉนดเลขที่11864 และ 11865 ซึ่งอยู่ติดกับที่ดินของโจทก์ดังกล่าว ด้านทิศเหนือผ่านไปยังที่ดินโฉนดเลขที่ 586 และ 7488 ของจำเลยแล้วออกสู่ทางสาธารณะ ตามสำนวนคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 1313/2528คดีหมายเลขแดงที่ 5820/2529 ของศาลชั้นต้น โดยมิได้ฟ้องนางสาวบุญศรีกับบุคคลอื่นที่มีที่ดินติดกับจำเลยให้เปิดทางจำเป็นแก่จำเลย พฤติการณ์ของจำเลยเป็นการยอมรับว่า ทางพิพาทเป็นทางที่ออกสู่ทางสาธารณะใกล้ที่สุดและสะดวกมากกว่าทางอื่นที่จำเลยอ้างว่าโจทก์สามารถเดินผ่านที่ดินของนางสาวบุญศรีนายเฉลิมชาติ และนายสมคิดออกสู่ทางสาธารณะได้ไม่มีน้ำหนักในการรับฟัง พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักดีกว่า จึงฟังได้ว่าทางพิพาทเป็นทางจำเป็นสำหรับที่ดินของโจทก์ สำหรับปัญหาว่าทางดังกล่าวควรกว้างเพียงใดนั้น โจทก์และนางทองใบเจ้าของเดิมที่ดินของโจทก์เบิกความตรงกันว่า พยานเคยใช้ทางพิพาทซึ่งเป็นคอนกรีตกว้าง 2 เมตร มาก่อน จำเลยมาปิดกั้นภายหลัง และปรากฏว่าตามคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 1313/2528 หมายเลขแดงที่ 5820/2529ของศาลชั้นต้น ดังกล่าวแล้ว จำเลยฟ้องขอให้โจทก์เปิดทางจำเป็นในที่ดินของโจทก์ให้จำเลยผ่านกว้าง 2 เมตร และเป็นทางแนวเดียวกับทางพิพาทคดีนี้ ทั้งขนาดทางกว้าง 2 เมตร ก็เหมาะสมแก่การใช้ประโยชน์ตามสภาพบ้านเมืองในปัจจุบันที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยเปิดทางจำเป็นในที่ดินของจำเลยโฉนดเลขที่ 586 และโฉนดเลขที่ 7488 มีความกว้าง 2 เมตร ตามสภาพของทางพิพาทที่ปรากฏอยู่ชอบแล้ว ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
สำหรับปัญหาตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยมีสิทธิเรียกค่าทดแทนจากโจทก์ในการใช้ทางพิพาทบนที่ดินของจำเลยได้หรือไม่นั้น เห็นว่าตามคำฟ้องของโจทก์อ้างว่า ที่ดินของโจทก์ถูกที่ดินของจำเลยและที่ดินของผู้อื่นปิดล้อม ไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะจำเป็นต้องใช้ทางพิพาทในที่ดินของจำเลยเพื่อออกสู่ทางสาธารณะ จำเลยให้การต่อสู้ว่า โจทก์สามารถใช้ทางอื่นออกสู่ทางสาธารณะได้ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะไม่ได้เสนอให้ค่าทดแทนในการใช้ที่ดินแก่จำเลยคดีมีประเด็นข้อกฎหมายในเรื่องอำนาจฟ้องว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องเรียกเอาทางจำเป็นโดยไม่เสนอให้ค่าทดแทนแก่จำเลยก่อนได้หรือไม่ ปัญหานี้ ในกรณีที่หากที่ดินมีการแบ่งแยกหรือแบ่งโอนกันเป็นเหตุให้แปลงหนึ่งไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะเจ้าของที่ดินแปลงนั้นมีสิทธิเรียกร้องเอาทางจำเป็นได้เฉพาะบนที่ดินแปลงที่ได้แบ่งแยกหรือแบ่งโอนกันโดยไม่ต้องเสียค่าทดแทน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1350 ส่วนกรณีที่ที่ดินแปลงใดมีที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่ จนไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะเจ้าของที่ดินแปลงนั้นมีสิทธิผ่านที่ดินซึ่งล้อมอยู่ไปสู่ทางสาธารณะได้ โดยจะต้องใช้ค่าทดแทนให้แก่เจ้าของที่ดินที่ล้อมอยู่ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1349 แต่บทบัญญัติดังกล่าวมิได้บังคับให้ผู้มีสิทธิผ่านทางจำเป็นในที่ดินของผู้อื่นนั้นต้องเสนอใช้ค่าทดแทนก่อนจึงจะใช้สิทธิได้ ฉะนั้นไม่ว่ากรณีจะเป็นประการใด โจทก์ก็มีอำนาจฟ้องเรียกเอาทางจำเป็นโดยไม่ต้องเสนอให้ค่าทดแทนแก่จำเลยก่อน ส่วนปัญหาว่าโจทก์จะต้องใช้ค่าทดแทนหรือไม่ ต้องใช้ค่าทดแทนแก่จำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1349 หรือมาตรา 1350 นั้น ในเมื่อคดีนี้โจทก์ไม่ได้เสนอให้ค่าทดแทนแก่จำเลยและจำเลยไม่ได้ฟ้องแย้งเรียกค่าทดแทนจากโจทก์คดีจึงไม่มีประเด็นที่ศาลจะวินิจฉัยในเรื่องค่าทดแทนว่าโจทก์จะต้องใช้แก่จำเลยหรือไม่ และปัญหานี้มิใช่ปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยปัญหาดังกล่าวมาจึงเป็นคำวินิจฉัยที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 และถือว่าเป็นข้อที่ไม่ได้ว่ากล่าวกันมาในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยฎีกาของโจทก์ในข้อนี้ ส่วนปัญหาตามฎีกาของโจทก์ต่อไปว่า ศาลอุทธรณ์พิพากษาไม่ตัดสิทธิจำเลยที่จะว่ากล่าวในเรื่องค่าทดแทนเป็นอีกคดีหนึ่งต่างหากเป็นการพิพากษาเกินคำขอหรือไม่นั้น เห็นว่าผู้มีสิทธิใช้ทางจำเป็นในที่ดินของผู้อื่นต้องใช้ค่าทดแทนแก่เจ้าของที่ดินนั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1349 หรืออาจไม่ต้องใช้ค่าทดแทนตามมาตรา 1350 แต่ปัญหาดังกล่าวไม่เป็นประเด็นวินิจฉัยในคดีนี้ดังกล่าวมาแล้ว จึงชอบที่จำเลยจะไปว่ากล่าวในเรื่องค่าทดแทนจากโจทก์เป็นอีกคดีหนึ่งต่างหาก รูปคดีมีเหตุผลอันสมควรที่ศาลจะระบุในคำพิพากษาให้ชัดเจนว่า ไม่ตัดสิทธิจำเลยที่จะไปว่ากล่าวในเรื่องค่าทดแทนจากโจทก์เป็นอีกคดีหนึ่งต่างหาก และคำพิพากษาดังกล่าวไม่ได้บังคับให้โจทก์ต้องใช้ค่าทดแทนแก่จำเลยในคดีนี้จึงไม่เป็นการพิพากษาให้สิ่งใด ๆ แก่จำเลยเกินหรือนอกเหนือจากคำขอของจำเลยไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 ดังที่โจทก์ฎีกา ฎีกาโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้นที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นด้วยในผล”
พิพากษายืน.