แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
บุคคลภายนอกส่งเอกสารตามคำสั่งเรียกต่อศาลก่อนวันสืบพยานนัดแรกเป็นเวลากว่า 1 เดือน ผู้ร้องมีโอกาสตรวจดูเอกสารดังกล่าวก่อนวันสืบพยานได้อยู่แล้ว ที่ผู้คัดค้านมิได้ส่งสำเนาเอกสารดังกล่าวให้แก่ผู้ร้องก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่า 3 วัน นั้น จึงถือไม่ได้ว่าเป็นการเอาเปรียบผู้ร้องแต่อย่างใด ที่ศาลล่างใช้ดุลพินิจรับฟังเอกสารเป็นพยานหลักฐานของผู้คัดค้านจึงชอบด้วยกฎหมาย บัญชีพยานผู้คัดค้านระบุพยานว่า “เอกสารเรื่องราวการจดทะเบียนนิติกรรมตลอดจนบันทึกข้อความ แผนที่หรือบันทึกถ้อยคำบุคคลใด ๆ หรือหนังสือโต้ตอบระหว่างหน่วยงานราชการหรือบุคคลหรือเอกสารทุกชนิดทุกฉบับที่เกี่ยวข้องกับโฉนดที่ดินเลขที่ 906ซึ่งเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสมุทรปราการได้จัดทำขึ้นและเก็บรักษาไว้ในแฟ้มเรื่องราวของโฉนดที่ดินฉบับดังกล่าวทั้งหมดทุกฉบับอยู่ที่เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสมุทรปราการ ต่อมาผู้คัดค้านขอคำสั่งเรียกพยานเอกสาร “คำบันทึกของนายสินชัยสุทธิรัตนชัย ช่างแผนที่ได้บันทึกถ้อยคำของนายฮ่องเฮงแซ่จัง ฉบับลงวันที่ 9 ที่ทำการรังวัดทำแผนที่พิพาทที่ดินโฉนดเลขที่ 906 ฯ” ผู้คัดค้านจึงได้ระบุอ้างพยานเอกสารดังกล่าวโดยชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 88 วรรคสอง แล้ว ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า “ส่วนอุทธรณ์ข้ออื่น ๆ ของผู้ร้องไม่มีเหตุซึ่งทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลงไป ศาลอุทธรณ์จึงไม่วินิจฉัยให้” ผู้ร้องฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์ควรจะหยิบยกอุทธรณ์ของผู้ร้องทุกข้อขึ้นวินิจฉัย ขอให้ศาลฎีกาวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้ร้องในส่วนที่ศาลอุทธรณ์ไม่ได้วินิจฉัยให้ด้วย ฎีกาของผู้ร้องมิได้บรรยายว่าคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ไม่ชอบด้วยกฎหมายประการใดในข้อไหนเป็นฎีกาที่ไม่ได้ยกข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่อ้างอิงขึ้นกล่าวให้ชัดแจ้ง จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249
ย่อยาว
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งว่าผู้ร้องมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 906 เลขที่ดิน 18 ตำบลบางพลีน้อย อำเภอบางบ่อ (บางเหี้ย) จังหวัดสมุทรปราการ เนื้อที่ประมาณ 15 ไร่ตามเส้นสีแดงในแผนที่สังเขปท้ายคำร้อง
ผู้คัดค้านยื่นคำร้องคัดค้าน
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว มีคำสั่งยกคำร้อง ให้ผู้ร้องใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนผู้คัดค้าน โดยกำหนดค่าทนายความ 50,000 บาท
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้ผู้ร้องใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์แทนผู้คัดค้าน 30,000 บาท
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้เป็นยุติตามทางนำสืบของคู่ความซึ่งนำสืบรับกันและไม่โต้แย้งกันว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 906 ตำบลบางพลีน้อย อำเภอบางบ่อ (บางเหี้ย) จังหวัดสมุทรปราการ ตามภาพถ่ายโฉนดที่ดินเอกสารหมาย ร.7 หรือ ค.22มีเนื้อที่ 24 ไร่ 3 งาน เดิมเป็นของนายเมือง สุกไส นายหมาหมุดทำหรือหมุดธรรม และนายภูมิ สุกใส ที่ดินของนายเมืองมีเนื้อที่ 16 ไร่ 2 งาน ที่ดินพิพาทภายในเส้นสีน้ำเงินตามแผนที่วิวาทเอกสารหมาย ร.8 เนื้อที่ 12 ไร่ 1 งาน 94 ตารางวา เป็นส่วนหนึ่งของที่ดินโฉนดเลขที่ 906 ดังกล่าว และปรากฏตามสารบัญการจดทะเบียนหลังโฉนดที่ดินนั้นว่า เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2475นายเมือง สุกไส โอนกรรมสิทธิ์ส่วนของตนให้แก่นายชั้ว แซ่แต้นายชั้วจึงมีชื่อในโฉนดที่ดินดังกล่าวร่วมกับนายหมาและนายมิต่อมาวันที่ 6 ตุลาคม 2525 นายชั้วจดทะเบียนโอนขายส่วนของตนให้แก่ผู้คัดค้าน
ที่ผู้ร้องฎีกาว่า ผู้คัดค้านอ้างเอกสารหมาย ค.10 ค.11 ค.15ถึง ค.20 และ ค.23 โดยอ้างว่าอยู่ในความครอบครองของนายชั้วซึ่งเป็นบุคคลภายนอกแต่นำทางนำสืบของผู้คัดค้านได้ความว่าเอกสารดังกล่าวอยู่ที่ผู้คัดค้าน ผู้คัดค้านไม่ได้ส่งสำเนาเอกสารดังกล่าวให้แก่ผู้ร้องก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่า 3 วัน จะรับฟังเอกสารดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานในคดีไม่ได้นั้น เห็นว่า ตามคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองไม่ปรากฏว่าศาลล่างทั้งสองได้รับฟังเอกสารหมาย ค.11 ค.15 ค.16 ค.18 ถึง ค.20 และ ค.23เป็นพยานหลักฐานของผู้คัดค้านแต่อย่างใด จึงไม่จำต้องวินิจฉัยว่าจะรับฟังเอกสารดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานได้หรือไม่ สำหรับเอกสารหมาย ค.10 และ ค.17 นั้น เห็นว่า แม้ผู้คัดค้านไม่ได้ส่งสำเนาเอกสารหมาย ค.10 และ ค.17 ให้ผู้ร้องก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่า 3 วัน เป็นการฝ่าฝืนต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 90 แต่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87(2)นั้น ถ้าศาลเห็นว่าเอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดี เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ศาลย่อมมีอำนาจใช้ดุลพินิจรับฟังเอกสารดังกล่าวได้ และคดีนี้ได้ความว่าเอกสารหมาย ค.10 และ ค.17 เป็นเอกสารสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดี ทั้งเอกสารหมาย ค.10 ก็เป็นสัญญากู้ ทำขึ้นระหว่างผู้ร้องกับนายชั้ว และผู้ร้องก็ได้นำสืบพยานที่เกี่ยวข้องกับเอกสารดังกล่าวด้วย ส่วนเอกสารหมาย ค.17 นั้นก็ปรากฏตามเอกสารในสำนวนลำดับที่ 42 ว่าศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งเรียกพยานเอกสารให้นายชั้วจัดการส่งใบเสร็จรับเงินภาษีบำรุงท้องที่ประจำปี 2509และประจำปี 2514 จนถึงปี 2525 ของนายชั้วไปยังศาลชั้นต้นและนายชั้วก็ได้ส่งใบเสร็จรับเงินภาษีบำรุงท้องที่ประจำปี 2513ถึงปี 2525 ของนายชั้วจำนวน 13 ฉบับ คือ เอกสารหมาย ค.17ต่อศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2528 ก่อนวันสืบพยานนัดแรกคือวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2529 เป็นเวลากว่า 1 เดือน ดังปรากฏตามเอกสารในสำนวนลำดับที่ 60 ผู้ร้องจึงมีโอกาสตรวจดูเอกสารดังกล่าวก่อนวันสืบพยานได้อยู่แล้ว ที่ผู้คัดค้านมิได้ส่งสำเนาเอกสารดังกล่าวให้แก่ผู้ร้องก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่า 3 วัน นั้นจึงถือไม่ได้ว่าเป็นการเอาเปรียบผู้ร้องแต่ประการใด ที่ศาลล่างทั้งสองใช้ดุลพินิจรับฟังเอกสารหมาย ค.10 และ ค.17 เป็นพยานหลักฐานของผู้คัดค้านจึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว ฎีกาของผู้ร้องข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ที่ผู้ร้องฎีกาว่า ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับเอกสารหมาย ค.49ของผู้คัดค้านไว้เป็นพยานหลักฐานในคดีนี้ และอนุญาตให้ผู้คัดค้านนำสืบเรื่องราวเกี่ยวกับเอกสารหมาย ค.49 เป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เห็นว่า ผู้คัดค้านได้ยื่นคำแถลงลงวันที่ 5 มิถุนายน2529 ระบุพยานเพิ่มเติม 9 อันดับ ตามบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมครั้งที่ 8 โดยระบุพยานอันดับ 8 ตามบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมดังกล่าวว่า “เอกสารเรื่องราวการจดทะเบียนนิติกรรมตลอดจนบันทึกข้อความแผนที่หรือบันทึกถ้อยคำบุคคลใด ๆ หรือหนังสือโต้ตอบระหว่างหน่วยงานราชการหรือบุคคล หรือเอกสารทุกชนิดทุกฉบับที่เกี่ยวข้องกับโฉนดที่ดินเลขที่ 906 หน้าสำรวจ 156 ตำบลบางพลีน้อย อำเภอบางบ่อ (บางเหี้ย) จังหวัดสมุทรปราการซึ่งเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสมุทรปราการได้จัดทำขึ้นและเก็บรักษาไว้ในแฟ้ม เรื่องราวของโฉนดที่ดินฉบับดังกล่าวทั้งหมดทุกฉบับอยู่ที่เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสมุทรปราการ” และต่อมาวันที่ 21เมษายน 2530 ผู้คัดค้านได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเรียกพยานเอกสารจากเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสมุทรปราการ โดยได้ระบุเรียกพยานเอกสารดังกล่าวในคำสั่งเรียกพยานเอกสารว่า “คือคำบันทึกของนายสินชัย สุทธิรัตนชัย ช่างแผนที่ได้บันทึกถ้อยคำของนายฮ่องเฮง แซ่จัง ฉบับลงวันที่ 13 พฤศจิกายน 2528 คือวันทำการรังวัดทำแผนที่พิพาทที่ดินโฉนดเลขที่ 906 หน้าโฉนด 156ตำบลบางพลีน้อย อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ 1 ฉบับ”และเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสมุทราปราการได้จัดส่งสำเนาภาพถ่ายเอกสารบันทึกถ้อยคำของนายฮ่องเฮง แซ่จัง ไปให้ศาลชั้นต้นตามคำสั่งเรียกดังกล่าว ซึ่งศาลชั้นต้นได้หมายเอกสารนั้นเป็นเอกสารหมาย ค.49 จึงฟังได้ว่าเอกสารหมาย ค.49 เป็นเอกสารฉบับหนึ่งซึ่งรวมอยู่ในพยานอันดับที่ 8 ในบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมครั้งที่ 8ของผู้คัดค้าน ผู้คัดค้านจึงได้ระบุอ้างพยานเอกสารดังกล่าวโดยชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 88 วรรคสองแล้ว การที่ศาลชั้นต้นรับเอกสารหมาย ค.49 ของผู้คัดค้านไว้เป็นพยานหลักฐานในคดีนี้และอนุญาตให้ผู้คัดค้านนำสืบเรื่องราวเกี่ยวกับเอกสารหมาย ค.49 จึงเป็นการชอบด้วยกฎหมายแล้ว ฎีกาของผู้ร้องข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
ส่วนที่ผู้ร้องฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า “…ส่วนอุทธรณ์ข้ออื่น ๆ ของผู้ร้องไม่มีเหตุซึ่งทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลงไปศาลอุทธรณ์จึงไม่วินิจฉัยให้” ผู้ร้องไม่อาจเห็นพ้องด้วยกับคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ดังกล่าว ศาลอุทธรณ์ควรจะหยิบยกอุทธรณ์ของผู้ร้องทุกข์ข้อขึ้นวินิจฉัยว่าศาลอุทธรณ์ไม่เห็นด้วยกับอุทธรณ์ของผู้ร้องข้อใด ด้วยเหตุผลอันใด ผู้ร้องจะได้ฎีกาคัดค้านคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ต่อไปได้ ขอให้ศาลฎีกาวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้ร้องในส่วนที่ศาลอุทธรณ์ไม่ได้วินิจฉัยให้ด้วย และผู้ร้องขอถือเอาอุทธรณ์ของผู้ร้องเป็นส่วนหนึ่งของฎีกาด้วยนั้น เห็นว่าฎีกาของผู้ร้องมิได้บรรยายว่าคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ไม่ชอบด้วยกฎหมายประการใด ในข้อไหน ฎีกาของผู้ร้องดังกล่าวเป็นฎีกาที่ไม่ได้ยกข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่อ้างอิงขึ้นกล่าวให้ชัดแจ้งจึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้”
พิพากษายืน ให้ผู้ร้องใช้ค่าทนายความชั้นฎีกาแทนผู้คัดค้าน30,000 บาท