คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 292/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยทั้งสองสำนวนให้การต่อสู้ว่า นายย.ร่วมกับนายช.ทำรายงานการประชุมผู้ถือหุ้นเป็นเท็จว่าจำเลยลาออกจากกรรมการของโจทก์ทั้งสองแล้วตั้งนายย.เป็นกรรมการแทนและนำความเท็จดังกล่าวไปจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงกรรมการ นายย.เป็นกรรมการของโจทก์ทั้งสองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย การแต่งตั้งทนายความให้ฟ้องคดีไม่ถูกต้องตามข้อบังคับ ตราประทับของโจทก์ทั้งสองในใบแต่งทนายความเป็นตราปลอม คดีจึงยังคงมีประเด็นข้อพิพาทตามข้อต่อสู้ของจำเลยอยู่ ซึ่งจำเป็นจะต้องฟังพยานหลักฐานของคู่ความให้เสร็จสิ้นเสียก่อนจึงจะวินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทนั้นได้ ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานจำเลยและโจทก์ทั้งสองนั้น จึงเป็นการปฏิบัติที่ไม่ชอบด้วยการพิจารณา ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการสืบพยานจำเลยและโจทก์ต่อไป แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดีชอบแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสองสำนวนฟ้องเป็นใจความว่า โจทก์ทั้งสองจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด โดยโจทก์ที่ 1 มีนายสาวิตพินธุโสภณ และโจทก์ที่ 2 มีนายยงยุทธ พินธุโสภณ เป็นกรรมการผู้มีอำนาจลงลายมือชื่อและประทับตราสำคัญของโจทก์ที่ 1 และที่ 2ทำการผูกพันโจทก์ที่ 1 และที่ 2 ได้ตามลำดับ จำเลยเป็นผู้ถือหุ้นคนหนึ่งของโจทก์ทั้งสอง โจทก์ที่ 1 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 14521, 14522, 25382 และ 25513 ตำบลเชิงเนินอำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง รวม 4 โฉนด โจทก์ที่ 2 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 20723 ถึง 21181, 5771, 5773, 5991,6015, 6017 และ 9307 ตำบลเชิงเนิน อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง รวม 349 โฉนด เมื่อประมาณเดือนเมษายน 2529 จำเลยจงใจเอาโฉนดที่ดินดังกล่าวของโจทก์ทั้งสองไปเก็บไว้โดยไม่มีอำนาจอ้างว่าผู้ถือหุ้นตกลงให้ถือเก็บไว้ ต่อมาวันที่ 29 กรกฎาคม 2530โจทก์ทั้งสองขอให้จำเลยส่งมอบโฉนดที่ดินดังกล่าวทั้งหมดคืนแก่โจทก์ทั้งสองในที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2523 (ที่ถูกคือครั้งที่ 1/2530) ของโจทก์ที่ 1 และในที่ประชุมผู้ถือหุ้นวิสามัญครั้งที่ 1/2530 ของโจทก์ที่ 2 แต่จำเลยไม่คืนให้ ทำให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยส่งมอบโฉนดที่ดินเลขที่14521, 14522, 25382 และ 25513 ตำบลเชิงเนิน อำเภอเมืองระยองจังหวัดระยอง รวม 4 โฉนด คืนแก่โจทก์ที่ 1 และส่งมอบโฉนดที่ดินเลขที่ 20723 ถึง 21181, 5771, 5773, 5991, 6015, 6017 และ 9307ตำบลเชิงเนิน อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง รวม 349 โฉนดคืนแก่โจทก์ที่ 2 หากคืนไม่ได้ ด้วยเหตุสูญหาย เสียหาย ถูกทำลายหรือชำรุดบกพร่องใช้การไม่ได้ ให้จำเลยชำระค่าใช้จ่ายและค่าธรรมเนียมแทนโจทก์ทั้งสองในการขอออกใบแทนโฉนดที่ดินทั้งหมดโดยให้ถือคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยทั้งสองสำนวนให้การต่อสู้คดี ขอให้ยกฟ้อง
ในวันนัดสืบพยานจำเลยซึ่งมีหน้าที่นำสืบก่อน ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้แล้ว ให้งดสืบพยานจำเลยและโจทก์ทั้งสองและพิพากษาให้จำเลยคืนโฉนดที่ดินจำนวน 4 โฉนด ตามฟ้องของโจทก์ที่ 1 และจำนวน 349 โฉนด ตามฟ้องของโจทก์ที่ 2 สำหรับการคืนนั้นให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการบังคับคดีให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ทั้งสอง โดยกำหนดค่าทนายความ 1,000 บาท
จำเลยทั้งสองสำนวนอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการสืบพยานจำเลยและโจทก์ต่อไปแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดีค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาล ให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อพิพากษาใหม่
โจทก์ทั้งสองสำนวนฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสองสำนวนให้การต่อสู้ว่านายยงยุทธ พินธุโสภณ ร่วมกับนายเชิดชัย พินธุโสภณ ทำรายงานการประชุมผู้ถือหุ้นวิสามัญเป็นเท็จว่าจำเลยได้ลาออกจากตำแหน่งกรรมการของโจทก์ทั้งสอง แล้วที่ประชุมแต่งตั้งนายยงยุทธเป็นกรรมการแทนจำเลย และร่วมกันนำความอันเป็นเท็จไปแจ้งต่อนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทจังหวัดระยอง จดทะเบียนเปลี่ยนแปลงกรรมการของโจทก์ทั้งสองโดยจดทะเบียนว่าจำเลยพ้นจากตำแหน่งกรรมการ และนายยงยุทธเป็นกรรมการของโจทก์ทั้งสองแทนจำเลย ความจริงไม่เคยมีการเรียกประชุมและไม่มีการประชุมผู้ถือหุ้นดังกล่าว ทั้งจำเลยไม่เคยมีหนังสือลาออกจากการเป็นกรรมการของโจทก์ทั้งสอง การเป็นกรรมการของโจทก์ทั้งสองของนายยงยุทธไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นโมฆะนายยงยุทธไม่มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ทั้งสอง การแต่งตั้งทนายความของโจทก์ทั้งสองในคดีทั้งสองสำนวนไม่ถูกต้องตามข้อบังคับของโจทก์ทั้งสอง และตราประทับของโจทก์ทั้งสองที่ประทับในใบแต่งทนายในคดีทั้งสองสำนวนเป็นตราปลอม คำฟ้องของโจทก์ทั้งสองไม่ชอบ ไม่มีผลเป็นคำฟ้องตามกฎหมาย คดีจึงยังคงมีประเด็นข้อพิพาทตามข้อต่อสู้ดังกล่าวของจำเลยอยู่ ซึ่งจำเป็นจะต้องฟังพยานหลักฐานของคู่ความให้เสร็จสิ้นเสียก่อนจึงจะวินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทนั้นได้ ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานจำเลยและโจทก์ทั้งสองนั้น จึงเป็นการปฏิบัติที่ไม่ชอบด้วยการพิจารณา ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ทั้งสองสำนวนฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อพิพากษาใหม่

Share