แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ข้อเท็จจริงที่ผู้ร้องนำสืบว่า ร. เช่าซื้อรถยนต์ของกลางไปจากผู้ร้อง แล้วผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อ 2 งวด ติดต่อกันทั้งได้นำรถยนต์ไปใช้ในการกระทำผิดเป็นการผิดสัญญาเช่าซื้อผู้ร้องจึงบอกเลิกสัญญา และผู้ร้องไม่ได้รู้เห็นเป็นใจด้วยกับการกระทำความผิดนั้น เพียงพอรับฟังแล้วว่าผู้ร้องมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยกับการกระทำความผิดของจำเลย ผู้ร้องไม่จำเป็นต้องนำสืบว่า ร.ผิดนัดเมื่อใดชำระค่าเช่าซื้อมาเท่าใด และยังคงค้างอยู่เท่าใดเพราะข้อดังกล่าวเป็นรายละเอียดปลีกย่อย
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 และสั่งริบรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ป-6838 นครราชสีมา ของกลาง
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าของรถยนต์ของกลางและมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดดังกล่าว ขอให้สั่งคืนรถยนต์ของกลางแก่ผู้ร้อง
โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า รถยนต์ของกลางไม่ใช่เป็นของผู้ร้องแต่เป็นทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำความผิด ขอให้ยกคำร้องของผู้ร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้คืนรถยนต์คันหมายเลขทะเบียนป-6834 นครราชสีมา แก่ผู้ร้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่าบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ศรีมิตร จำกัด ผู้ร้อง เป็นเจ้าของรถยนต์กระบะหมายเลขทะเบียน ป-6834 นครราชสีมา ของกลาง ในปัญหาที่ว่าผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดหรือไม่ ผู้ร้องมีนายนิพนธ์ วงศ์วัฒนะปาน เบิกความยืนยันว่า นายโรด เพ็งเกษมเช่าซื้อรถยนต์ของกลางไปจากผู้ร้อง นายโรดได้ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อ 2 งวดติดต่อกัน และนำรถยนต์ของกลางไปใช้ในการกระทำผิด เป็นการผิดสัญญาเช่าซื้อ ผู้ร้องจึงบอกเลิกสัญญา และผู้ร้องไม่รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลยทั้งสอง ฝ่ายโจทก์มีร้อยตำรวจเอกสุพัฒน์ ภู่พันธ์ศรี พนักงานสอบสวนเบิกความแต่เพียงว่า ได้ร่วมจับกุมจำเลยทั้งสองในคดีนี้ข้อหาความผิดร่วมกันมียาเสพติดให้โทษไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและยึดกัญชาและรถยนต์ของกลางไปทำการสอบสวน การสอบสวนได้ความว่า จำเลยทั้งสองใช้รถยนต์ของกลางในการกระทำความผิด รถยนต์ของกลางเป็นของนายโรดที่เช่าซื้อจากผู้อื่นและนำมาให้จำเลยที่ 2 ใช้ โดยให้จำเลยที่ 2 ผ่อนชำระค่าเช่าซื้อต่อ ส่วนในข้อที่ว่าผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดหรือไม่ ร้อยตำรวจเอกสุพัฒน์มิได้เบิกความถึง เห็นว่า พยานโจทก์มิได้เบิกความหักล้างพยานผู้ร้องประกอบกับผู้ร้องเป็นบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับกิจการเงินทุนหลายประเภท การให้เช่าซื้อทรัพย์เป็นธุรกิจประเภทหนึ่งของผู้ร้อง บริษัทผู้ร้องตั้งอยู่ที่กรุงเทพมหานครมีผู้เช่าซื้อทรัพย์ไปจากผู้ร้องจำนวนมาก ยากที่ผู้ร้องจะตรวจตราดูแลการใช้ทรัพย์ของผู้ร้องที่มีผู้เช่าซื้อไป และคดีนี้เมื่อนายโรดผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อรถยนต์ตามสัญญาและยังนำรถยนต์ไปให้ผู้อื่นใช้จนถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมและยึดรถยนต์เป็นของกลางผู้ร้องก็ได้บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อกับนายโรดแล้ว พฤติการณ์ของผู้ร้องดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าผู้ร้องกระทำเพื่อประโยชน์ของผู้ร้องเอง มิได้กระทำเพื่อประโยชน์ของนายโรด ทั้งไม่ปรากฏว่าผู้ร้องจะต้องคืนรถยนต์ของกลางให้แก่นายโรดแต่อย่างใดดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ตำหนิว่าผู้ร้องไม่นำสืบให้เห็นว่านายโรดผิดนัดเมื่อใด ชำระค่าเช่าซื้อมาเท่าใดและยังคงค้างอยู่อย่างใด จึงไม่เชื่อว่านายโรดผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อ นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นรายละเอียดปลีกย่อยและโจทก์ก็มิได้คัดค้านถึงความถูกต้องของหนังสือบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อของผู้ร้องพยานหลักฐานของผู้ร้องมีน้ำหนักน่าเชื่อฟังได้ว่าผู้ร้องมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลยทั้งสอง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยฎีกาผู้ร้องฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำสั่งศาลชั้นต้น