คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7547/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำฟ้องโจทก์ระบุว่า จำเลยที่ 3 เป็นผู้ค้ำประกันจำเลยที่ 1ที่ 4 และที่ 5 อย่างลูกหนี้ร่วม โดยจำเลยที่ 3 ไม่ได้นำทรัพย์สินไปจำนอง ศาลพิพากษาให้จำเลยที่ 3 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ที่ 4และที่ 5 ดังนี้คำฟ้องและคำพิพากษาที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 3เป็นเพียงคำฟ้องและคำพิพากษาในมูลหนี้สามัญมิได้เกี่ยวกับการบังคับจำนอง เมื่อโจทก์ไม่สามารถบังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินจำนองของจำเลยที่ 1 ที่ 4 และที่ 5 ได้ครบถ้วน โจทก์ในฐานะเจ้าหนี้สามัญของจำเลยที่ 3 ก็ชอบจะบังคับเอาชำระหนี้ตามคำพิพากษาโดยยึดที่ดินพิพาทของจำเลยที่ 3 ในฐานะลูกหนี้ร่วมกับจำเลยที่ 1ที่ 4 และที่ 5 ได้ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งและไม่มีบทบัญญัติใดที่บัญญัติให้สิทธิของโจทก์ที่จะบังคับชำระหนี้จากจำเลยที่ 3 ในฐานะลูกหนี้ร่วมกับจำเลยที่ 1 ที่ 4 และที่ 5ตามคำพิพากษาระงับสิ้นลง จำเลยที่ 3 ไม่มีสิทธิขอให้ศาลเพิกถอนการยึดที่ดินพิพาทของจำเลยที่ 3

ย่อยาว

สืบเนื่องมาจากคดีทั้งสามสำนวน ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกัน และพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 4 และที่ 5 ชำระหนี้แก่โจทก์ 19,395 บาท 52,287.86 บาท และ 46,669.50 บาท ตามลำดับพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากต้นเงิน 13,000 บาท 38,250บาท และ 34,140 บาท ตามลำดับ นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จโดยให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ที่ 4 และที่ 5และให้จำเลยที่ 1 ที่ 4 และที่ 5 ไถ่ถอนจำนองที่ดินโฉนดเลขที่9034, 7687 และ 7686 ตำบลรอบเมือง อำเภอเมืองร้อยเอ็ดจังหวัดร้อยเอ็ด หากจำเลยทั้งห้าไม่ชำระหนี้หรือจำเลยที่ 1ที่ 4 และที่ 5 ไม่ไถ่ถอนจำนองก็ให้ยึดที่ดินและสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ตามสัญญาจำนองแต่ละฉบับต่อไปคำขออื่นให้ยกเสีย คดีถึงที่สุด แต่จำเลยทั้งห้าไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา โจทก์จึงขอหมายบังคับคดีและนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์สินจำนองคือ ที่ดินโฉนดเลขที่ 9034, 7687 และ 7686ของจำเลยที่ 1 ที่ 4 และที่ 5 ตามลำดับ เพื่อบังคับชำระหนี้ตามคำพิพากษาแล้ว แต่ยังไม่ครบถ้วนจึงยึดที่ดินรวม 5 แปลงของจำเลยที่ 3 ต่อไปอีก
จำเลยที่ 3 ยื่นคำแถลงว่า เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ที่ 4 และที่ 5 คือ ที่ดินโฉนดเลขที่ 9043(ที่ถูกคือ 9034), 7687 และ 7686 ซึ่งเป็นทรัพย์สินจำนองออกขายทอดตลาดและนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาแล้วการบังคับคดีจึงเสร็จสมบูรณ์เพราะคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ที่ขอให้ยึดทรัพย์สินอื่นนอกจากทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบนั้น ศาลชั้นต้นพิพากษายกคำขอส่วนนี้ของโจทก์ทุกสำนวน โจทก์จึงบังคับชำระหนี้เอาจากจำเลยเกินกว่าทรัพย์จำนองไม่ได้ หนี้ยังขาดอยู่เท่าใด ลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดอีก ดังนั้นการที่โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 7479,7480, 7481, 7482 และ 7485 ซึ่งเป็นทรัพย์สินของจำเลยที่ 3 อีกจึงเป็นการกระทำนอกเหนือคำพิพากษาของศาล ขอให้เพิกถอนการยึดทรัพย์ของจำเลยที่ 3 ทั้งหมดดังกล่าว
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ศาลฎีกามีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้จำเลยที่ 3 ร่วมกันรับผิดชำระเงินกับจำเลยที่ 1 ที่ 4 และที่ 5 ตามยอดเงินที่ศาลกำหนด จำเลยที่ 3 จึงอยู่ในฐานะลูกหนี้ร่วมรับผิดชำระเงินดังกล่าว ตามยอดเงินที่จำเลยที่ 1 ที่ 4 และที่ 5 จะต้องชำระหนี้แก่โจทก์จนกว่าจะครบถ้วน เมื่อโจทก์แถลงว่ายังไม่ได้รับชำระหนี้ตามคำพิพากษาครบถ้วนโจทก์จึงมีสิทธิบังคับคดีต่อไป ให้ยกคำแถลงคัดค้านของจำเลยที่ 3
จำเลยที่ 3 ยื่นคำร้องขอระงับการขายทอดตลาดที่ดินโฉนดเลขที่ 7479, 7480, 7481, 7482 และ 7485 พร้อมสิ่งปลูกสร้างไว้ก่อนจนกว่าคดีร้องคัดค้านของจำเลยที่ 3 จะถึงที่สุด
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า กรณีไม่มีเหตุที่จะงดการขายทอดตลาดให้ยกคำร้อง
จำเลยที่ 3 อุทธรณ์ทั้งสองคำสั่ง
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามคำฟ้องโจทก์ทั้งสามสำนวนระบุว่าจำเลยที่ 3 เป็นผู้ค้ำประกันจำเลยที่ 1 ที่ 4 และที่ 5 อย่างลูกหนี้ร่วม โดยไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 3 นำทรัพย์สินใดไปจำนองและศาลได้มีคำพิพากษาให้จำเลยที่ 3 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1ที่ 4 และที่ 5 เห็นว่า คำฟ้องและคำพิพากษาที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 3เป็นเพียงคำฟ้องและคำพิพากษาในมูลหนี้สามัญมิได้เกี่ยวกับการบังคับจำนอง เมื่อโจทก์ไม่สามารถบังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินจำนองของจำเลยที่ 1 ที่ 4 และที่ 5 ได้ครบถ้วน โจทก์ในฐานะเจ้าหนี้สามัญของจำเลยที่ 3 ก็ชอบจะบังคับเอาชำระหนี้ตามคำพิพากษาที่ให้จำเลยที่ 3 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ที่ 4 และที่ 5 โดยนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินพิพาทของจำเลยที่ 3 ในฐานะลูกหนี้ร่วมกับจำเลยที่ 1 ที่ 4 และที่ 5 ซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาได้ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง นอกจากนี้หาได้มีบทบัญญัติกฎหมายใดที่บัญญัติให้สิทธิของโจทก์จะบังคับชำระหนี้จากจำเลยที่ 3 ในฐานะลูกหนี้ร่วมกับจำเลยที่ 1 ที่ 4และที่ 5 ตามคำพิพากษาระงับสิ้นลง โจทก์จึงมีสิทธินำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินพิพาทของจำเลยที่ 3 ลูกหนี้ตามคำพิพากษาเพื่อขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ตามคำพิพากษาต่อไปได้ จำเลยที่ 3จึงไม่มีสิทธิขอให้ศาลเพิกถอนการยึดที่ดินพิพาทของจำเลยที่ 3ของเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่จำเลยที่ 3อ้างมานั้น ข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้ เมื่อวินิจฉัยดังนี้แล้วก็ไม่มีเหตุที่จะขอให้งดการขายทอดตลาดที่ดินพิพาทของจำเลยที่ 3ที่เจ้าพนักงานบังคับคดียึดไว้โดยชอบดังที่จำเลยที่ 3 ฎีกา
พิพากษายืน

Share