คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7329/2537

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

เมื่อโจทก์เช่าซื้อรถยนต์จากจำเลยแล้ว โจทก์เป็นผู้ครอบครองและใช้สอยรถยนต์ที่เช่าซื้อมา จำเลยในฐานะเจ้าของรถมีหน้าที่ต้องไปเสียภาษีรถประจำปีตามพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522มาตรา 6 วรรคหนึ่ง และมาตรา 32 วรรคหนึ่ง หากจำเลยละเว้นไม่ทำหน้าที่ นอกจากจำเลยจะต้องเสียเงินเพิ่มตามกฎหมายแล้วจะเป็นเหตุให้โจทก์ซึ่งเป็นผู้ใช้รถต้องรับโทษทางอาญา ตามมาตรา 59และอาจถูกนายทะเบียนยึดรถที่ใช้นั้นไปตามมาตรา 35 วรรคสองโจทก์จึงฟ้องขอให้บังคับจำเลยปฏิบัติตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ได้หากคำขอบังคับท้ายฟ้องบางข้อจะมีปัญหาว่าร้องขอได้หรือไม่หรือโจทก์กับจำเลยจะมีข้อตกลงความรับผิดระหว่างกันประการใดเป็นกรณีที่ศาลจะพิพากษาเมื่อได้พิจารณาพยานหลักฐานทั้งสองฝ่ายเสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้ว ไม่ชอบที่ศาลจะยกฟ้องโดยยังมิได้สืบพยาน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2534 โจทก์ได้เช่าซื้อรถยนต์หมายเลขทะเบียน 80-6260 ปทุมธานี จากจำเลยทั้งสองทำสัญญาเช่าซื้อตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 2 โจทก์ได้ชำระค่าเช่าซื้อตลอดมาจำเลยทั้งสองได้จดทะเบียนเสียภาษีประจำปีต่อนายทะเบียนขนส่งจังหวัดปทุมธานี ต่อมานับตั้งแต่วันที่ 30 มีนาคม 2536จำเลยทั้งสองไม่ยอมไปเสียภาษีรถยนต์ประจำปีเพื่อต่อทะเบียนรถยนต์การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการจงใจทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายไม่สามารถนำรถยนต์ออกใช้ได้เพราะหากฝ่าฝืนจะเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522 ต้องรับโทษทางอาญา โจทก์ได้ติดตามทวงถามแจ้งให้จำเลยทั้งสองต่อทะเบียนรถยนต์ดังกล่าวให้แก่โจทก์ แต่จำเลยทั้งสองกลับเพิกเฉย ขอบังคับให้จำเลยทั้งสองต่อทะเบียนและเสียภาษีรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 80-6260 ปทุมธานีตั้งแต่วันที่ 30 มีนาคม 2536 ต่อนายทะเบียนขนส่งจังหวัดปทุมธานีภายใน 7 วันนับแต่วันพิพากษา และต่อทะเบียนเสียภาษีประจำทุกปีตลอดไปจนกว่ากรรมสิทธิ์ในรถยนต์จะโอนมาเป็นของโจทก์และให้จำเลยส่งมอบป้ายทะเบียนวงกลมที่ต่อทะเบียนแล้วให้แก่โจทก์ หากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตาม ก็ให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาในการต่อทะเบียนเพื่อเสียภาษีรถยนต์ประจำปีแทนจำเลยทั้งสองให้จำเลยทั้งสองชำระค่าเสียหายวันละ 3,000 บาท แก่โจทก์นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะได้ต่อทะเบียนรถยนต์ให้แก่โจทก์
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คำขอท้ายฟ้องไม่อาจบังคับได้ จึงให้ยกฟ้องโจทก์อุทธรณ์ปัญหาข้อกฎหมาย โดยขออนุญาตให้ยื่นอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกา ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ตามพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522มาตรา 6 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า ห้ามมิให้ผู้ใดใช้รถที่ยังมิได้จดทะเบียนห้ามมิให้ผู้ใดใช้รถที่จดทะเบียนแล้วแต่ยังมิได้เสียภาษีประจำปีสำหรับรถนั้นให้ครบถ้วนถูกต้องภายในเวลาที่กำหนดมาตรา 32 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า เจ้าของรถมีหน้าที่เสียภาษีประจำปีพิจารณาคำฟ้องประกอบด้วยบทบัญญัติดังกล่าวจะเห็นได้ว่า เมื่อโจทก์เช่าซื้อรถยนต์จากจำเลยแล้ว โจทก์เป็นผู้ครอบครองและใช้สอยรถยนต์ที่เช่าซื้อมา จำเลยในฐานะเจ้าของรถมีหน้าที่ต้องไปเสียภาษีรถประจำปี หากจำเลยละเว้นไม่ทำตามหน้าที่ นอกจากจำเลยจะต้องเสียเงินเพิ่มตามกฎหมายแล้วจะเป็นเหตุให้โจทก์ซึ่งเป็นผู้ใช้รถต้องรับโทษทางอาญา ตามมาตรา 59 และอาจถูกนายทะเบียนยึดรถที่ใช้นั้นไปตามมาตรา 35 วรรคสอง โจทก์จึงฟ้องขอให้บังคับจำเลยปฏิบัติตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ได้ หากคำขอบังคับท้ายฟ้องบางข้อจะมีปัญหาว่าร้องขอได้หรือไม่ หรือโจทก์กับจำเลยจะมีข้อตกลงความรับผิดระหว่างกันประการใด เป็นกรณีที่ศาลจะพิพากษาเมื่อได้พิจารณาพยานหลักฐานทั้งสองฝ่ายเสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้ว ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกฟ้องโดยยังมิได้สืบพยานนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา”
พิพากษากลับ ให้รับฟ้องโจทก์

Share