คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7229/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เหตุฟ้องหย่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516(4)จะต้องเป็นเรื่องที่สามีหรือภริยาจงใจละทิ้งร้างอีกฝ่ายหนึ่ง การที่โจทก์จำเลยต่างรับราชการและจำเลยมิได้ย้ายตามโจทก์ จึงมีเหตุสมควรในการแยกกันอยู่ จำเลยไม่ได้เดินทางไปหาโจทก์ เนื่องจากโจทก์จำเลยทะเลาะกัน ประกอบกับจำเลยมีเหตุระแวงสงสัยว่าโจทก์อุปการะเลี้ยงดูหญิงอื่นฉันภริยา จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยจงใจละทิ้งร้างโจทก์ เหตุที่จำเลยทำลายทรัพย์สินและเอาทรัพย์สินไป เนื่องจากโจทก์จำเลยทะเลาะวิวาทกันและจำเลยระแวงสงสัยว่าโจทก์อุปการะเลี้ยงดูหญิงอื่นฉันภริยาซึ่งโจทก์เป็นผู้ก่อขึ้น จำเลยทำไปด้วยความน้อยใจและโกรธจนควบคุมอารมณ์ไม่ได้และโจทก์ไม่ได้แจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษจำเลยว่าเป็นผู้ทำลายทรัพย์สินและเอาทรัพย์สินไป แสดงว่าโจทก์ให้อภัยจำเลยแล้ว สิทธิฟ้องหย่าย่อมหมดไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1518

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยได้จดทะเบียนสมรสกัน โจทก์จำเลยมิได้อยู่กินฉันสามีภริยาเป็นเวลาเกินกว่า 1 ปี จำเลยได้กระทำผิดอาญาต่อโจทก์ ทำให้ทรัพย์สินของโจทก์เสียหายเป็นเงินประมาณ52,000 บาท จำเลยยังได้ดูหมิ่นบุพการีของโจทก์อย่างร้ายแรงเป็นการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์ต่อการอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยา จึงขอหย่าขาดจากจำเลย แต่จำเลยไม่ยอมไปจดทะเบียนหย่า ขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนหย่ากับโจทก์ หากจำเลยไม่ไปทำการจดทะเบียนหย่าให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การว่า สิทธิฟ้องหย่าของโจทก์หมดไปเพราะโจทก์ให้อภัยการกระทำของจำเลย จำเลยไม่ได้กระทำการใดอันเป็นเหตุให้โจทก์ฟ้องหย่าได้ เนื่องจากโจทก์กับจำเลยต่างรับราชการอยู่คนละแห่ง โจทก์ตกลงจะขอย้ายมาอยู่กับจำเลย แต่โจทก์ก็หาได้กระทำตามที่ตกลงไป จนกระทั่งจำเลยทราบว่าโจทก์อยู่กินกับหญิงอื่นและยกย่องหญิงอื่นฉันภริยา โจทก์เป็นฝ่ายทิ้งร้างจำเลยจำเลยไม่เคยกระทำการใด ๆ เป็นเหตุให้ทรัพย์สินของโจทก์เสียหาย และจำเลยไม่เคยดูหมิ่นบุพการีของโจทก์ เหตุที่โจทก์ขอหย่ากับจำเลยก็เพื่อต้องการจดทะเบียนสมรสกับหญิงอื่น ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่โจทก์ฎีกาว่า โจทก์กับจำเลยแยกกันอยู่เกินกว่าหนึ่งปี ซึ่งเป็นเหตุให้โจทก์ฟ้องหย่านั้น เห็นว่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516(4) จะต้องเป็นเรื่องที่สามีหรือภริยาจงใจละทิ้งร้างอีกฝ่ายหนึ่ง กรณีของโจทก์และจำเลยต่างรับราชการด้วยกันทั้งคู่ การรับราชการจะต้องมีการโยกย้ายเป็นปกติธรรมดาอยู่แล้ว ในเมื่อโจทก์จะต้องย้ายไปอยู่ที่โรงพยาบาลพระแสง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ส่วนจำเลยคงรับราชการอยู่โรงพยาบาลจังหวัดนครปฐม ไม่ได้ตามไปอยู่กับโจทก์ จึงมีเหตุสมควรในการแยกกันอยู่ จำเลยไม่ได้เดินทางไปหาโจทก์เนื่องจากโจทก์จำเลยเกิดทะเลาะกัน จำเลยได้ทำลายทรัพย์สินของโจทก์ ประกอบกับจำเลยมีเหตุระแวงสงสัยว่าโจทก์อุปการะเลี้ยงดูหญิงอื่นฉันภริยา จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยจงใจละทิ้งร้างโจทก์ ที่โจทก์ฎีกาว่า โจทก์มิได้ให้อภัยในการที่จำเลยประพฤติชั่วโดยจำเลยได้ทำลายทรัพย์สินของโจทก์และเอาทรัพย์สินของโจทก์ไปนั้น เห็นว่า เหตุที่จำเลยทำลายทรัพย์สินและเอาทรัพย์สินไปก็เนื่องจากโจทก์จำเลยเกิดทะเลาะวิวาทกัน และจำเลยระแวงสงสัยว่าโจทก์อุปการะเลี้ยงดูหญิงอื่นฉันภริยาซึ่งโจทก์เป็นผู้ก่อขึ้น จำเลยคงทำไปด้วยความน้อยใจและโกรธจนควบคุมอารมณ์ไม่ได้ ได้ความจากสำเนารายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีเอกสารหมาย จ.3ที่โจทก์อ้างว่าได้แจ้งความไว้นั้น ปรากฏแต่เพียงว่าโจทก์ได้แจ้งความว่าโจทก์เก็บบัตรประจำตัวข้าราชการ บัตรเสียภาษี และใบอนุญาตขับรถยนต์ ฯลฯ ไว้ที่บ้านพัก ต่อมาโจทก์ได้ตรวจค้นเอกสารดังกล่าวดู ปรากฏว่าสูญหายไป จึงมาแจ้งไว้เป็นหลักฐานเพื่อนำไปประกอบขอทำใหม่ ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้แจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษจำเลยว่าเป็นผู้ทำลายทรัพย์สินและเอาทรัพย์สินของโจทก์ไปแต่อย่างใดแสดงให้เห็นว่าโจทก์ได้ให้อภัยจำเลยแล้ว สิทธิฟ้องหย่าข้อนี้ย่อมหมดไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1518
พิพากษายืน

Share