คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7203/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำฟ้องโจทก์กล่าวว่า จำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์ 3 ครั้ง แต่ละครั้งกำหนดวงเงิน อัตราดอกเบี้ย วิธีคิดดอกเบี้ยจากเงินที่ค้างชำระ ซึ่งมีการเดินสะพัดทางบัญชีตลอดมาจนพ้นกำหนดเวลาถึงวันฟ้อง มียอดหนี้ที่จำเลยที่ 1 ค้างชำระแก่โจทก์คำฟ้องจึงไม่เคลือบคลุม ส่วนยอดเงินมีความเป็นมาอย่างไรดอกเบี้ยอัตราเท่าไร และคิดดอกเบี้ยแบบไหนเป็นรายละเอียดซึ่งนำสืบได้ในชั้นพิจารณา ผู้รับมอบอำนาจโจทก์เบิกความว่า โจทก์ไม่ประสงค์ที่จะให้จำเลยที่ 1 เดินสะพัดทางบัญชีอีกต่อไป จึงได้ให้ทนายความมีหนังสือบอกเลิกสัญญาและบอกกล่าวบังคับจำนอง แสดงว่าโจทก์ยอมรับเอาการบังคับจำนองตามหนังสือบอกกล่าวของทนายความเป็นการบอกกล่าวในนามของโจทก์ ถือได้ว่าโจทก์ได้ให้สัตยาบันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 823 โจทก์บอกกล่าวบังคับจำนองโดยชอบแล้ว เมื่อสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีครบกำหนด จำเลยที่ 1 ยังคงเบิกเงินเกินบัญชีและนำเงินเข้าฝากหักทอนบัญชี จึงถือว่ามีการต่ออายุสัญญาออกไปโดยไม่มีกำหนดระยะเวลาจนกว่าโจทก์หรือจำเลยที่ 1จะบอกเลิกสัญญา โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นจนถึงวันเลิกสัญญา

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีจากโจทก์สาขาอุทัยธานี จำนวน 3 ฉบับ ฉบับแรกจำเลยที่ 1 ได้จดทะเบียนจำนองที่ดินเป็นประกัน ฉบับที่ 2 จำเลยที่ 2 ได้ค้ำประกันจำเลยที่ 1 ยอมรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ได้จำนองที่ดินเป็นประกัน และฉบับที่ 3 มีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันยอมรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ได้เบิกเงินเกินบัญชีไปจากโจทก์และครบกำหนดตามสัญญาแล้ว จำเลยที่ 1 มิได้ส่งเงินเข้าบัญชีลดยอดเงินที่เบิกเกินให้เสร็จสิ้น ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 748,870.61 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยทบต้นคำนวณตามวิธีและประเพณีการคิดดอกเบี้ยเบิกเงินเกินบัญชีธนาคารอัตราร้อยละ16.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนถึงวันที่นำเงินส่งให้แก่โจทก์เพื่อนำส่งเข้าบัญชีลดยอดที่จำเลยที่ 1 เบิกเกินให้แล้วเสร็จสิ้นไปและไถ่ถอนจำนองไปจากโจทก์ ถ้าจำเลยทั้งสองไม่ชำระให้เอาทรัพย์สินที่จำนองออกขายทอดตลาดเอาเงินมาชำระให้แก่โจทก์เพื่อนำเข้าลดยอดที่จำเลยที่ 1 เบิกเกินหากขายทอดตลาดได้เงินไม่พอยังขาดอยู่เท่าใด ให้จำเลยทั้งสองรับผิดชดใช้ส่วนที่ขาดอยู่จนครบถ้วน
จำเลยที่ 1 ให้การว่า นายวีระชาติ ชูโต มิได้เป็นผู้รับมอบอำนาจให้ฟ้องจำเลยที่ 2 หนังสือมอบอำนาจดังกล่าวเป็นเอกสารปลอมโจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นจากจำเลย เมื่อสัญญาสิ้นสุดลงคงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากจำเลยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีเท่านั้นก่อนฟ้องคดีนี้โจทก์ไม่เคยบอกกล่าวบังคับจำนอง จำเลยที่ 1 ที่ 2ให้ชำระหนี้โดยชอบด้วยกฎหมาย อีกทั้งโจทก์ไม่ได้มอบอำนาจให้ทนายโจทก์เป็นผู้บอกกล่าว โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน722,765.39 บาท พร้อมดอกเบี้ยทบต้นอัตราร้อยละ 16.5 ต่อปีนับแต่วันที่ 28 กรกฎาคม 2533 ถึงวันที่ 14 สิงหาคม 2533และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 16.5 ต่อปี (ไม่ทบต้น) จากเงินต้นของจำนวนดังกล่าวรวมกับดอกเบี้ยทบต้นดังกล่าว ซึ่งกลายเป็นเงินต้นแล้วนับแต่วันที่ 15 สิงหาคม 2533 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์ หากจำเลยทั้งสองไม่ชำระหรือชำระไม่ครบถ้วนให้เอาทรัพย์ที่จำนองออกขายทอดตลาดเอาเงินมาชำระแทน หากขายทอดตลาดได้เงินไม่พอ ยังขาดจำนวนอยู่เท่าใด ให้จำเลยทั้งสองรับผิดชดใช้ส่วนที่ขาดจนครบถ้วน คำขออื่นของโจทก์นอกจากนี้ให้ยก
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 722,756.39 บาท พร้อมดอกเบี้ยนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คำฟ้องกล่าวว่า จำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์ 3 ครั้ง แต่ละครั้งกำหนดวงเงินอัตราดอกเบี้ยวิธีคิดดอกเบี้ยจากเงินที่ค้างชำระซึ่งมีการเดินสะพัดทางบัญชีตลอดมาจนพ้นกำหนดระยะเวลาถึงวันฟ้องมียอดหนี้ที่จำเลยที่ 1ค้างชำระแก่โจทก์ คำฟ้องดังกล่าวจึงแสดงโดยแจ้งชัด ซึ่งสภาพแห่งข้อหาคำขอบังคับและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 แล้ว ส่วนที่ว่ายอดเงินมีความเป็นมาอย่างไร ดอกเบี้ยอัตราเท่าไร และคิดดอกเบี้ยแบบไหน แม้โจทก์จะมิได้บรรยายไว้ก็เป็นเรื่องรายละเอียดซึ่งโจทก์สามารถนำสืบได้ในชั้นพิจารณา ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม
จำเลยที่ 1 เบิกความรับว่า ได้รับหนังสือบอกกล่าวบังคับจำนองจากทนายความซึ่งระบุว่าได้รับมอบอำนาจจากโจทก์ให้มีหนังสือบอกกล่าวบังคับจำนอง และนายวีระชาติผู้รับมอบอำนาจโจทก์เบิกความว่า โจทก์ไม่ประสงค์ที่จะให้จำเลยที่ 1 เดินสะพัดทางบัญชีอีกต่อไป จึงได้ให้ทนายความมีหนังสือบอกเลิกสัญญาและบอกกล่าวทวงถามไปยังจำเลยทั้งสองพร้อมทั้งบอกกล่าวบังคับจำนองด้วย แสดงว่าโจทก์ยอมรับเอาการบังคับจำนองตามหนังสือบอกกล่าวของทนายความเป็นการบอกกล่าวในนามของโจทก์ ถือได้ว่าโจทก์ได้ให้สัตยาบันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 823 และฟังได้ว่าโจทก์บอกกล่าวบังคับจำนองโดยชอบแล้ว
เมื่อสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีทั้งสามฉบับครบกำหนด จำเลยที่ 1ยังคงเบิกเงินจากบัญชีและนำเงินเข้าฝากหักทอนบัญชีจนถึงวันที่ 27กรกฎาคม 2533 จึงถือได้ว่า มีการต่ออายุสัญญาออกไปโดยไม่มีกำหนดระยะเวลาจนกว่าโจทก์หรือจำเลยที่ 1 จะบอกเลิกสัญญา โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นจนถึงวันเลิกสัญญา เมื่อโจทก์ได้มีหนังสือบอกเลิกสัญญาและบอกกล่าวบังคับจำนองภายใน 7 วัน จำเลยทั้งสองได้รับหนังสือดังกล่าวในวันที่ 7 สิงหาคม 2533 จึงถือว่าสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีได้สิ้นสุดลงในวันที่ 14 สิงหาคม 2533 โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นจนถึงวันที่ 14 สิงหาคม 2533
พิพากษายืน

Share