คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7001/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

พระราชบัญญัติ ญญัติล้มละลายฯ มาตรา 8(5) ได้แบ่งข้อสันนิษฐานไว้ก่อนว่าลูกหนี้มีหนี้สินล้นพ้นตัวเป็น 2 กรณีคือ ลูกหนี้ถูกยึดทรัพย์ตามหมายบังคับคดี และลูกหนี้ไม่มีทรัพย์สินอย่างหนึ่งอย่างใดที่จะพึงยึดมาชำระหนี้ได้ เพียงกรณีใดกรณีหนึ่งก็เข้าข้อสันนิษฐานของกฎหมายว่าเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัวแล้ว การที่โจทก์นำสืบว่า โจทก์สืบหาทรัพย์สินของจำเลยทั้งสามแล้ว แต่จำเลยทั้งสามไม่มีทรัพย์สินอย่างหนึ่งอย่างใดพึงยึดมาชำระหนี้โจทก์ได้ต้องด้วยข้อสันนิษฐานว่าเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสามนำพยานหลักฐานเข้ามาสืบว่าจำเลยทั้งสามมีทรัพย์สินดังกล่าวเพียงพอแก่การชำระหนี้ให้แก่โจทก์ได้ จึงไม่อาจหักล้างข้อสันนิษฐานดังกล่าวได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าหนี้จำเลยทั้งสามตามคำพิพากษามีจำนวนแน่นอนไม่น้อยกว่า 500,000 บาท จำเลยทั้งสามไม่มีทรัพย์สินอย่างหนึ่งอย่างใดที่จะพึงยึด มาชำระหนี้ได้ จึงเข้าข้อสันนิษฐานว่าจำเลยทั้งสามมีหนี้สินล้นพ้นตัว ขอให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสามเด็ดขาดและพิพากษาให้จำเลยทั้งสามเป็นบุคคลล้มละลาย
จำเลยทั้งสามให้การว่า จำเลยทั้งสามไม่ได้เป็นหนี้โจทก์ตามฟ้อง จำเลยทั้งสามมิใช่ผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว โจทก์ไม่มีสิทธินำคดีมาฟ้องจำเลยทั้งสาม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยทั้งสามเด็ดขาดตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 14
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่าจำเลยทั้งสามเป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาถึงที่สุดของศาลชั้นต้นในคดีหมายเลขแดงที่ 2261/2530 และ 11875/2530 รวมต้นเงิน ดอกเบี้ยและค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองคดีจนถึงวันฟ้องเป็นเงิน 804,658.86 บาทศาลชั้นต้นได้ออกหมายบังคับคดีในคดีหมายเลขแดงที่ 11875/2530ตามที่โจทก์ขอแล้วตามเอกสารหมาย จ.5 ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสามมีว่า จำเลยทั้งสามมีหนี้สินล้นพ้นตัวหรือไม่เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยทั้งสามเป็นหนี้โจทก์จำนวนแน่นอนเป็นเงิน 804,658.86 บาท โดยไม่ยอมชำระหนี้ให้เลยจนโจทก์ต้องขอหมายบังคับคดีเพื่อยึดทรัพย์ของจำเลยทั้งสามมาชำระหนี้ แม้โจทก์ยังไม่นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลยทั้งสามทันที แต่นายเจษฎา ชลายนเดชะ พยานโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ประนอมหนี้และเร่งรัดติดตามหนี้สินของโจทก์ได้เบิกความยืนยันว่าโจทก์ได้สืบหาทรัพย์สินของจำเลยทั้งสามแล้ว แต่ไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสามมีทรัพย์สินอย่างหนึ่งอย่างใดที่จะยึดมาชำระหนี้โจทก์ได้ซึ่งตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 8(5) ได้แบ่งข้อสันนิษฐานไว้ก่อนว่าลูกหนี้มีหนี้สินล้นพ้นตัวเป็น 2 กรณีคือลูกหนี้ถูกยึดทรัพย์ตามหมายบังคับคดีประการหนึ่ง และลูกหนี้ไม่มีทรัพย์สินอย่างหนึ่งอย่างใดที่จะพึงยึดมาชำระหนี้ได้อีกประการหนึ่ง เพียงกรณีใดกรณีหนึ่งก็เข้าข้อสันนิษฐานของกฎหมายว่าเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัวแล้ว ดังนี้ข้อนำสืบของโจทก์ที่ว่าโจทก์สืบหาทรัพย์สินของจำเลยทั้งสามแล้ว แต่จำเลยทั้งสามไม่มีทรัพย์สินอย่างหนึ่งอย่างใดพึงยึดมาชำระหนี้โจทก์ได้ ต้องด้วยข้อสันนิษฐานว่าเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัวตามบทบัญญัติดังกล่าวที่จำเลยทั้งสามฎีกาว่า โจทก์ไม่มีความสามารถสืบหาทรัพย์สินของจำเลยทั้งสามเอง เพราะจำเลยที่ 1 มีสำนักงานที่ทำการอยู่ที่ถนนตลาดใหม่ดอนเมือง เป็นตึกแถว 2 ชั้น 2 คูหา เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 2 หาใช่จำเลยทั้งสามไม่มีทรัพย์สินให้โจทก์ยึดได้นั้น ไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสามนำพยานหลักฐานเข้ามาสืบว่าจำเลยทั้งสามมีทรัพย์สินดังกล่าวเพียงพอแก่การชำระหนี้ให้แก่โจทก์ได้เพิ่งจะมาอ้างภายหลังลอย ๆ จึงไม่อาจหักล้างข้อสันนิษฐานดังกล่าวได้ ทั้งกรณีไม่มีเหตุที่ไม่ควรให้จำเลยทั้งสามล้มละลาย ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้พิทักษ์ทรัพย์จำเลยทั้งสามเด็ดขาดชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยทั้งสามฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share