คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6966/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยกับพวกหลอกลวงโจทก์ร่วมว่าพวกของจำเลยชื่อ ก.และขอกู้ยืมเงินโจทก์ร่วมโดยพวกของจำเลยทำสัญญากู้ยืมเงินลงชื่อก. กับมอบโฉนดที่ดิน ซึ่งมีชื่อ ก. ให้โจทก์ร่วมยึดถือไว้การกระทำของจำเลยกับพวกมีเจตนาทุจริตเพื่อให้ได้เงินจากโจทก์ร่วมและมิให้โจทก์ร่วมใช้สัญญากู้ยืมเงินนั้นเป็นหลักฐานฟ้องร้องเรียกเงินคืน ทำให้โจทก์ร่วมได้รับความเสียหาย จำเลยกับพวกจึงมีความผิดฐานร่วมกันปลอมเอกสารสิทธิ เมื่อจำเลยกับพวกได้มอบสัญญากู้ยืมเงินนั้นให้โจทก์ร่วมยึดถือไว้ จำเลยกับพวกจึงมีความผิดฐานร่วมกันใช้เอกสารสิทธิปลอมอีกกระทงหนึ่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91, 265, 268, 341, 342 และให้จำเลยคืนหรือชดใช้เงินจำนวน100,000 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นายสมเจตน์ ทองวัฒนา ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 265, 342(1) ประกอบมาตรา 341, 83 เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 265 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 กระทงหนึ่ง กับมีความผิดฐานร่วมกันใช้เอกสารสิทธิปลอมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 265อีกกระทงหนึ่ง แต่การใช้นี้เกิดจากการทำปลอมเอกสารสิทธิกระทงแรกด้วยตามมาตรา 268 วรรคสอง ให้ลงโทษทั้งสองกระทงตามมาตรา 268 วรรคแรก กระทงเดียว จำเลยกระทำความผิดฐานนี้อีกหนึ่งครั้ง จึงเป็นความผิดสองกระทง ให้จำคุกกระทงละ 2 ปี รวมโทษสองกระทง จำคุก 4 ปี คำให้การจำเลยในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดีอยู่บ้าง ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุก 2 ปี 8 เดือน ให้จำเลยคืนหรือใช้เงิน 100,000 บาทแก่ผู้เสียหาย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 342(1), 91 เรียงกระทงลงโทษจำคุกกระทงละ 2 ปีรวมสองกระทงให้จำคุก 4 ปี คำรับสารภาพของจำเลยในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 ปี 8 เดือน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 15เมษายน 2535 จำเลยกับพวกซึ่งเป็นหญิงอีก 4 คน คือนางพเยาว์จันทร อายุประมาณ 60 ปี นางสมพิศ จันทร นางเรณู เพรีและนางเล็กหรือสุดใจ ใจแสน ได้มาหาโจทก์ร่วมและขอกู้ยืมเงิน80,000 บาท จำเลยอ้างว่านางพเยาว์คือนางแก้ว ใจแสนเป็นผู้ขอกู้โดยมอบโฉนดที่ดินเลขที่ 1971 ที่มีชื่อนางแก้ว ใจแสนเป็นเจ้าของเป็นประกัน โจทก์ร่วมเชื่อว่านางพเยาว์ คือนางแก้วใจแสน จริงจึงให้กู้ แล้วนางพเยาว์กับนางสมพิศได้ทำสัญญาเป็นผู้กู้ร่วมกัน โดยนางพเยาว์ลงชื่อเป็นนางแก้ว ใจแสน ส่วนนางสมพิศลงชื่อเป็นนางแววหรือแว๋ว ใจแสน ในสัญญากู้ยืมเงินต่อมาวันที่ 24 เดือนเดียวกันจำเลยกับพวก 4 คน ดังกล่าวได้มาขอกู้ยืมเงินจากโจทก์ร่วมเพิ่มอีก 20,000 บาท นางพเยาว์ได้ทำสัญญากู้ยืมเงินให้โจทก์ร่วมไว้อีกหนึ่งฉบับ โดยลงชื่อในช่องผู้กู้ว่านางแก้ว ใจแสน เห็นว่า จำเลยกับพวกหลอกลวงโจทก์ร่วมว่าพวกของจำเลยคือผู้มีชื่อดังที่อ้าง และขอกู้ยืมเงินโจทก์ร่วมโดยทำสัญญากู้ยืมเงินกับมอบโฉนดที่ดินซึ่งมีชื่อพวกจำเลยที่อ้างให้โจทก์ร่วมยึดถือไว้ การกระทำของจำเลยกับพวกมีเจตนาทุจริตเพื่อให้ได้เงินจากโจทก์ร่วมและมิให้โจทก์ร่วมใช้สัญญากู้ยืมเงินนั้นเป็นหลักฐานฟ้องร้องเรียกเงินคืน ทำให้โจทก์ร่วมได้รับความเสียหาย จำเลยกับพวกจึงมีความผิดฐานร่วมกันปลอมเอกสารสิทธิ เมื่อจำเลยกับพวกได้มอบสัญญากู้ยืมเงินนั้นให้โจทก์ร่วมยึดถือไว้จำเลยกับพวกจึงมีความผิดฐานร่วมกันใช้เอกสารสิทธิปลอมอีกกระทงหนึ่ง
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share