แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อสำนักงานสรรพากรจังหวัดบุรีรัมย์โอนสำนวนการตรวจสอบไปยังสำนักงานสรรพากรเขต 3 เจ้าพนักงานประเมินภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับท้องที่สรรพากรเขต 3 ซึ่งมีตำแหน่งเป็นสรรพากรเขต 3จึงมีอำนาจประเมินภาษีเงินได้นิติบุคคลและแจ้งการประเมินไปยังโจทก์ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนหนังสือแจ้งภาษีเงินได้นิติบุคคลและคำสั่งของจำเลยที่ 3 ให้เพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์และให้เพิกถอนคำสั่งที่สั่งโจทก์เสียเงินเพิ่มเสียทั้งหมด
จำเลยทั้งหกให้การว่า การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เป็นการชอบด้วยกฎหมายแล้วขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างสืบพยานโจทก์ โจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องเฉพาะจำเลยที่ 4ที่ 5 และที่ 6 ศาลภาษีอากรกลางอนุญาต
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัดมีนายประสิทธิ์ พิพัฒน์ภานุกุล เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการประกอบกิจการอุตสาหกรรมโรงสีข้าว ในการยื่นรายการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีปี 2523 และ 2524 โจทก์แสดงยอดรายได้ไว้จำนวน 167,106,555 บาท และ 244,637,811.68 บาท จากการตรวจสอบภาษีเจ้าหน้าที่ตรวจสอบพบว่าโจทก์มีต้นทุนการขายลดลง เมื่อปรับปรุงแล้วมีผลให้โจทก์มีกำไรสุทธิสูงขึ้นและต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่ม เจ้าพนักงานประเมินจึงแจ้งการประเมินภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีปี 2523 จำนวน 9,015,638.18 บาท และรอบระยะเวลาบัญชีปี 2524 จำนวน 20,205,689.01 บาท ไปยังโจทก์โจทก์ไม่พอใจจึงอุทธรณ์การประเมิน คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยยกอุทธรณ์โจทก์
ส่วนที่โจทก์อุทธรณ์ว่า เจ้าพนักงานประเมินภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับท้องที่สรรพากรเขต 3 ไม่มีอำนาจประเมินและแจ้งการประเมินนั้น เห็นว่าเมื่อได้ความว่าสำนักงานสรรพากรจังหวัดบุรีรัมย์โอนสำนวนการตรวจสอบไปยังสำนักงานสรรพากรเขต 3เจ้าพนักงานประเมินภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับท้องที่สรรพากรเขต 3ซึ่งมีตำแหน่งเป็นสรรพากรเขต 3 จึงมีอำนาจประเมินภาษีเงินได้นิติบุคคลและแจ้งการประเมินไปยังโจทก์
พิพากษายืน