แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้ร้องเคยยื่นคำร้องขอให้ปล่อยทรัพย์พิพาทรายเดียวกันในคดีแพ่ง ซึ่งถึงที่สุดโดยศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยไม่ใช่ของผู้ร้อง ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าที่ดินพิพาทไม่ใช่ของผู้ร้อง แม้ที่ดินพิพาทจะมีพระราชกฤษฎีกากำหนดให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม และผู้ร้องเป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาท ผู้ร้องมีคุณสมบัติครบถ้วนตามระเบียบหลักเกณฑ์และวิธีการคัดเลือกเกษตรกรเข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทนั้น แต่สำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมและคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมได้รอการพิจารณาคำร้องขอเข้าอยู่อาศัยและทำประโยชน์ของผู้ร้องไว้ เพราะที่ดินพิพาทถูกยึด ผู้ร้องจึงยังไม่ได้รับสิทธิให้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท ยังไม่อยู่ในฐานะเป็นผู้มีส่วนได้เสียที่จะมีสิทธิร้องขอให้มีคำสั่งว่าที่ดินพิพาทไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดีและให้ถอนการยึดตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 มาตรา 158 ต้องยกคำร้องขอ คดีไม่จำต้องวินิจฉัยว่ากรณีเป็นการร้องซ้ำหรือดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำตามฎีกาของผู้ร้องต่อไป เพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ในคดีนี้ได้ฟ้องจำเลยขอให้ล้มละลายศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดและพิพากษาให้จำเลยเป็นบุคคลล้มละลาย เจ้าพนักงานบังคับคดีได้โอนทรัพย์ที่ยึดในคดีแพ่งเข้ามาไว้ในกองทรัพย์สินของจำเลย ผู้ร้องยื่นคำคัดค้านต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ขอให้ถอนการยึดเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีคำสั่งยกคำร้อง
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอว่า ที่ดินพิพาทที่ยึดนั้นมิใช่ของจำเลยผู้ร้องซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยและเข้าครอบครองทำประโยชน์ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2526 เป็นต้นมา เดิมที่ดินพิพาทอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ แต่ต่อมามีพระราชกฤษฎีกากำหนดให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ที่ดินพิพาทจึงเป็นที่ดินของรัฐหรือสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี ผู้ร้องเป็นผู้ครอบครองมาก่อนและได้ยื่นคำร้องขอต่อสำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมเพื่อเข้าอยู่อาศัยและทำประโยชน์ตามระเบียบหลักเกณฑ์และวิธีการของคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมจึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีมีสิทธิร้องคัดค้านการยึดและขอให้เพิกถอนการยึดที่ดินพิพาทได้ ขอให้มีคำสั่งว่าที่ดินพิพาทไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี ให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ถอนการยึดที่ดินพิพาท
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหามีว่าผู้ร้องเป็นผู้มีส่วนได้เสียมีสิทธิร้องขอให้มีคำสั่งว่าที่ดินพิพาทไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดีและให้ถอนการยึดได้หรือไม่ เห็นว่า ผู้ร้องเคยยื่นคำร้องขอให้ปล่อยทรัพย์พิพาทในรายเดียวกันนี้ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1493/2527 ของศาลชั้นต้น ซึ่งคดีถึงที่สุดโดยศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย ไม่ใช่ของผู้ร้อง ข้อเท็จจริงจึงฟังยุติได้ว่าที่ดินพิพาทไม่ใช่ของผู้ร้อง ส่วนที่ผู้ร้องอ้างในคดีนี้ว่าเดิมที่ดินพิพาทอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ แต่ต่อมามีพระราชกฤษฎีกา กำหนดให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมผู้ร้องเป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาทมาก่อนและได้ยื่นคำร้องขอต่อสำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมเพื่อเข้าอยู่อาศัยและทำประโยชน์ตามระเบียบหลักเกณฑ์และวิธีการของคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมสำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม และคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมได้ทำการรังวัดที่ดินพิพาทตามคำร้องขอของผู้ร้องโดยมีเนื้อที่ 46 ไร่ 3 งาน 99 ตารางวา ผู้ร้องมีคุณสมบัติครบถ้วนตามระเบียบหลักเกณฑ์และวิธีการคัดเลือกเกษตรกรเข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทนั้น เห็นว่า แม้เป็นดังที่ผู้ร้องกล่าวอ้าง แต่ปรากฏตามคำร้องขอของผู้ร้องว่าสำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมและคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมได้รอการพิจารณาคำร้องขอของผู้ร้องไว้เพราะที่ดินพิพาทถูกยึด ดังนี้แสดงว่าผู้ร้องยังไม่ได้รับสิทธิให้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท จึงยังไม่อยู่ในฐานะเป็นผู้มีส่วนได้เสียที่จะมีสิทธิร้องขอให้มีคำสั่งว่าที่ดินพิพาทไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดีและให้ถอนการยึดตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483มาตรา 158 ต้องยกคำร้องขอคดีไม่จำต้องวินิจฉัยว่ากรณีเป็นการร้องซ้ำหรือดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำตามฎีกาของผู้ร้องต่อไปเพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป
พิพากษายืน