แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยฎีกาว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะโจทก์ขายที่ดินตามส.ค.1 และที่ดินที่ปกครองอีกประมาณ 50 ไร่ ให้แก่ ป.ตั้งแต่วันที่ 18 พฤษภาคม 2531 สิทธิครอบครองที่ดินของโจทก์ทั้งแปลงรวมทั้งที่ดิน ส.ค.1 ดังกล่าวได้โอนไปยัง ป.แล้ว โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทอีกต่อไปนั้น เป็นฎีกาในข้อเท็จจริงซึ่งศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยแล้วว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท แม้ฎีกาของจำเลยจะมีข้อความต่อมาว่า จำเลยบุกรุกที่ดินโจทก์เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2531 ไม่เป็นการโต้แย้งสิทธิโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น ฎีกาของจำเลยก็ยังเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมาย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท จำเลยบุกรุกเข้ามาตัดถางต้นจาก และต้นโกงกาง กับปักเสาเพื่อทำรั้วลวดหนามขอให้บังคับจำเลยและบริวารรื้อถอนเสารั้วลวดหนามออกไปจากที่ดินพิพาทและห้ามเกี่ยวข้องอีกต่อไป ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน17,000 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ และชดใช้ค่าเสียหายเดือนละ 15,000 บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะส่งมอบการครอบครองที่ดินพิพาทคืนโจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทด้วยการปลูกต้นจากไว้เต็มพื้นที่ จำเลยตัดถางต้นจากในที่ดินพิพาทเพื่อขุดบ่อเลี้ยงกุ้ง จำเลยมิได้กระทำละเมิดต่อโจทก์หากนำที่ดินไปให้บุคคลอื่นเช่าจะได้ค่าเช่าไม่เกินเดือนละ 500 บาท
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยและบริวารรื้อถอนเสาลวดหนามออกไปจากที่พิพาทตามที่ปรากฏในแผนที่กลางเอกสารหมาย จ.3 และห้ามมิให้จำเลยและบริวารเข้ามาเกี่ยวข้องรบกวนการครอบครองโจทก์อีกต่อไป ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหาย 1,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องคือวันที่ 3 ตุลาคม 2531จนกว่าจะชำระเสร็จ และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์อีกเดือนละ 500 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะออกไปจากที่พิพาท ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความให้รวม 3,000 บาท
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้จำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกามีเพียง 50,000 บาทเท่านั้น จึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่งที่ใช้บังคับอยู่ในขณะจำเลยยื่นฎีกา ที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะโจทก์ขายที่ดินตาม ส.ค.1 เลขที่ 6 ตำบลเกาะขวางอำเภอเมืองจันทบุรี จังหวัดจันทบุรีและที่ดินที่ปกครองอีกประมาณ50 ไร่ ให้แก่ป. ตั้งแต่วันที่ 18 พฤษภาคม 2531 สิทธิครอบครองที่ดินของโจทก์ทั้งแปลงรวมทั้งที่ดิน ส.ค.1 ดังกล่าว ได้โอนไปยังป.แล้ว โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทอีกต่อไปนั้นเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงซึ่งศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยแล้วว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท แม้ฎีกาของจำเลยจะมีข้อความต่อมาว่า ที่โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยบุกรุกที่ดินโจทก์เมื่อวันที่5 กรกฎาคม 2531 ไม่เป็นการโต้แย้งสิทธิโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น ฎีกาของจำเลยก็ยังเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมาย ต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายกฎีกาจำเลย คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาทั้งหมดให้จำเลยค่าทนายความชั้นฎีกาให้เป็นพับ