คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6159/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ฟ้องโจทก์อ้างว่า ที่ดินพิพาท ส.บิดาโจทก์ จำเลย และบุคคลอื่นมีกรรมสิทธิ์ร่วมกัน จำเลยครอบครองโฉนดที่ดินไว้ โจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของ ส. ต้องการโฉนดที่ดินเพื่อแบ่งแยกที่ดินให้แก่ทายาท จำเลยให้การต่อสู้ว่า ส.ได้ยกที่ดินส่วนของตนให้จำเลย จำเลยได้ครอบครองโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเป็นเวลาเกินกว่าสิบปีจึงได้กรรมสิทธิ์ และคดีโจทก์ขาดอายุความมรดกแล้ว ประเด็นที่ศาลต้องวินิจฉัยก่อนจึงมีว่าที่ดินส่วนของ ส.ตกเป็นกรรมสิทธิ์แก่จำเลยโดยการครอบครองปรปักษ์แล้วหรือไม่ หากตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยดังจำเลยให้การต่อสู้โจทก์ก็ไม่มีสิทธิเรียกโฉนดที่ดินดังกล่าวคืนจากจำเลย ข้อเท็จจริงตามคำฟ้องและคำให้การจำเลยจึงยังไม่พอวินิจฉัยคดีได้ สมควรที่ศาลจะต้องฟังข้อเท็จจริงจากการนำสืบของคู่ความให้สิ้นกระแสความเสียก่อน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของ ค.ส.ร. และจำเลยโจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของ ส.ประสงค์ที่จะลงชื่อรับมรดกและแบ่งแยกกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวจึงติดต่อให้จำเลยนำโฉนดที่ดินมาทำการแบ่งแยก แต่จำเลยเพิกเฉยขอให้บังคับจำเลยส่งมอบโฉนดที่ดินเลขที่ 6081 ให้โจทก์เพื่อทำการแบ่งแยกกรรมสิทธิ์ที่ดินต่อไปหากจำเลยไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนา
จำเลยให้การว่า โจทก์และส. บิดาโจทก์ไม่เคยครอบครองที่ดินพิพาท เมื่อประมาณ 40 ปี ส. ยกที่ดินพิพาทส่วนของตนให้จำเลยโดยมิได้ทำหลักฐานเป็นหนังสือหรือจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จำเลยครอบครองที่ดินพิพาทส่วนของส. ด้วยการปลูกสร้างบ้านปลูกต้นไม้และล้อมรั้วเป็นสัดส่วนแน่นอนโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ จำเลยจึงได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทส่วนของส. ดังกล่าว คดีโจทก์ขาดอายุความมรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นเห็นว่า คดีพอวินิจฉัยได้แล้ว จึงมีคำสั่งให้งดชี้สองสถานและงดสืบพยานโจทก์จำเลย แล้วพิพากษาให้จำเลยส่งมอบโฉนดที่ดินเลขที่ 6081 แก่โจทก์ คำขอนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามคำฟ้องของโจทก์อ้างว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 6081 ตำบลบ้านไร่ อำเภอดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรีเนื้อที่ 5 ไร่ 2 งาน 40 ตารางวา ส.บิดาโจทก์ จำเลยและบุคคลอื่นมีกรรมสิทธิ์ร่วมกัน จำเลยเป็นผู้ครอบครองโฉนดที่ดินไว้ โจทก์ซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกของส. ต้องการโฉนดที่ดินเพื่อแบ่งแยกที่ดินให้แก่ทายาท จำเลยให้การต่อสู้ว่า ส. ได้ยกที่ดินส่วนของตนให้จำเลยจำเลยได้ครอบครองโดยความสงบและโดยเปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเป็นเวลาเกินกว่าสิบปีจึงได้กรรมสิทธิ์ และคดีโจทก์ขาดอายุความมรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 แล้วดังนั้นประเด็นที่ศาลต้องวินิจฉัยก่อนจึงมีว่า ที่ดินส่วนของส.ตกเป็นกรรมสิทธิ์แก่จำเลยโดยการครอบครองปรปักษ์แล้วหรือไม่หากตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยดังจำเลยให้การต่อสู้โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกโฉนดที่ดินดังกล่าวคืนจากจำเลย ข้อเท็จจริงตามคำฟ้องและคำให้การจำเลยจึงยังไม่พอวินิจฉัยคดีได้ สมควรที่ศาลจะต้องฟังข้อเท็จจริงจากการนำสืบของคู่ความให้สิ้นกระแสความเสียก่อนที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยแล้วพิพากษาให้โจทก์เป็นฝ่ายชนะคดีนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกา ให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่

Share