แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
แม้โจทก์จะได้ฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีอาญาฐานบุกรุกที่พิพาทซึ่งเป็นที่มี น.ส.3 ก. ขณะที่จำเลยทั้งสองปลูกบ้านอยู่ในที่พิพาทยังไม่เกิน 1 ปี และคดีอาญาดังกล่าวยังไม่เสร็จเด็ดขาด แต่เมื่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 ไม่ใช่อายุความฟ้องร้องจึงนำเรื่องอายุความสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 51 มาใช้บังคับไม่ได้ โจทก์ต้องฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองที่พิพาทภายใน 1 ปี นับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครองมิฉะนั้นหมดสิทธิฟ้องเรียกเอาคืนการครอบครองที่พิพาท
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันบุกรุกเข้าไปในที่ดินตามน.ส.3 ก. เลขที่ 4404 ของโจทก์ทั้งแปลงเพื่อเจตนาแย่งการครอบครองทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองและบริวารออกจากที่ดิน หนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 4404เลขที่ดิน 16 ตำบลบางระกำ อำเภอบางระกำ จังหวัดพิษณุโลกพร้อมให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินดังกล่าวกับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 42,240 บาท และค่าเสียหายในปีต่อไปอีกปีละ 42,240 บาท จนกว่าจำเลยทั้งสองและบริวารจะออกจากที่ดินของโจทก์
จำเลยทั้งสองให้การและจำเลยที่ 1 ฟ้องแย้งว่า ที่ดินตามฟ้องจำเลยที่ 1 ครอบครองแต่เพียงผู้เดียว ได้สิทธิครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมายมา 15 ปีเศษ ก่อนที่โจทก์จะได้รับโอนทางทะเบียน โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่เรียกค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสอง และโจทก์นำคดีมาฟ้องเมื่อเกิน 1 ปี นับแต่จำเลยแย่งการครอบครอง ขอให้ยกฟ้องและจำเลยที่ 1 ฟ้องแย้งขอให้แสดงว่าจำเลยที่ 1 มีสิทธิครอบครองที่ดินตาม น.ส.3 ก. เลขที่ 4404 ตำบลบางระกำ อำเภอบางระกำจังหวัดพิษณุโลก ให้เพิกถอนชื่อโจทก์ออกจาก น.ส.3 ก. ดังกล่าว
โจทก์ยื่นคำให้การแก้ฟ้องแย้งจำเลยว่า ที่พิพาทโจทก์ครอบครองทำประโยชน์ตลอดมา จำเลยที่ 1 และที่ 2 เพิ่งเข้ารบกวนการครอบครองที่พิพาทยังไม่ถึง 1 ปี ขอให้ยกฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้องโจทก์ ยกฟ้องแย้งจำเลยที่ 1
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองและบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่ดินตาม น.ส.3 ก.เลขที่ 4404 ตำบลบางระกำ อำเภอบางระกำ จังหวัดพิษณุโลกของโจทก์และให้ร่วมกันใช้ค่าเสียหายปีละ 5,000 บาท นับจากปี 2530เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยพร้อมบริวารจะออกจากบ้านที่พิพาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยทั้งสองฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่าโจทก์หมดสิทธิฟ้องเรียกเอาที่พิพาทคืนเพราะฟ้องเกิน 1 ปี แล้วและกำหนดระยะเวลาให้ฟ้องเรียกคืนการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 มิใช่อายุความจะนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 51 มาใช้ไม่ได้นั้น เห็นว่า โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองว่าร่วมกันบุกรุกเข้าไปในที่ดินของโจทก์เพื่อเจตนาแย่งการครอบครอง ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองออกจากที่พิพาทศาลอุทธรณ์ภาค 2 ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยทั้งสองเข้าครอบครองปลูกบ้านอยู่ในที่พิพาทตั้งแต่วันที่ 21 มกราคม 2530 และปรากฏว่าโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีอาญาฐานบุกรุกที่พิพาทต่อศาลจังหวัดพิษณุโลกก่อนวันที่ 28 ตุลาคม 2530 จำเลยทั้งสองปลูกบ้านอยู่ในที่พิพาทยังไม่เกิน 1 ปี และขณะที่โจทก์ฟ้องคดีนี้คดีอาญายังไม่เสร็จเด็ดขาด อายุความจึงสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 51 วรรคสอง เห็นได้ว่า เรื่องที่โจทก์ฟ้องเป็นเรื่องที่ฟ้องเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองที่พิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 ซึ่งไม่ใช่อายุความฟ้องร้องแล้วจะนำมาตรา 51 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาใช้บังคับไม่ได้ โจทก์ต้องฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองที่พิพาทตามบทบัญญัติดังกล่าวภายใน 1 ปี นับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครองเมื่อปรากฏว่าจำเลยเข้าแย่งการครอบครองที่พิพาท ตั้งแต่วันที่21 มกราคม 2530 โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2531เกินกว่า 1 ปี แล้ว โจทก์จึงหมดสิทธิฟ้องเรียกเอาคืนการครอบครองที่พิพาทประเด็นเรื่องค่าเสียหายไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษามานั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยทั้งสองฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น