คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5866/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สัญญาซื้อขายเยื่อใยสั้นฟอกขาวซัลเฟต ชานอ้อย ข้อ 1 ข้อ 2และข้อ 4 ได้ระบุไว้ชัดแจ้งว่า ผู้ซื้อตกลงซื้อและผู้ขายตกลงขายสินค้าดังกล่าวมีรายการคุณภาพตามสัญญาข้อ 1.1 โดยผู้ขายรับรองว่าเยื่อใยสั้นฟอกขาวซัลเฟต ชานอ้อยที่ขายให้ผู้ซื้อมีคุณภาพไม่ต่ำกว่าที่กำหนดไว้ และเมื่อทำการตรวจสอบต้องมีคุณภาพไม่ต่ำกว่าที่กำหนดไว้ด้วย การตรวจสอบจะต้องให้ผู้ตรวจสอบในต่างประเทศทำการตรวจสอบและออกใบรับรองให้เป็นไปตามที่ตกลงซื้อขายกันเสียก่อนจึงจะส่งลงเรือได้ และผู้ซื้อจะให้สถาบันตรวจสอบวิเคราะห์ของทางราชการทำการตรวจสอบหรือวิเคราะห์คุณภาพ โดยให้ถือว่าผลการตรวจสอบหรือวิเคราะห์คุณภาพของสถาบันนี้เป็นที่สุด ถ้าเยื่อใยสั้นฟอกขาวซัลเฟต ชานอ้อยที่วิเคราะห์แล้วไม่เป็นไปตามรายการคุณภาพตามสัญญาข้อ 1.1 ผู้ซื้อจะรับไว้ทั้งหมดหรือไม่รับทั้งหมดหรือจะรับไว้เป็นบางส่วนก็ได้ ถ้าผู้ซื้อรับไว้ทั้งหมดหรือรับไว้เป็นบางส่วนก็ดี ผู้ซื้อจะลดราคาตามส่วนคุณภาพที่ด้อยลง ข้อสัญญานี้เป็นเรื่องความรับผิดเกี่ยวกับความชำรุดบกพร่องของสินค้าที่ซื้อขาย โจทก์กล่าวในฟ้องยืนยันว่า จำเลยกระทำผิดข้อสัญญาโดยส่งมอบเยื่อใยสั้นฟอกขาวซัลเฟตชานอ้อยให้แก่โจทก์ แต่รายการคุณภาพความยาวเมื่อขาดหน่วยเป็นเมตรต่ำกว่าที่กำหนดไว้5,000 เมตร เป็น 4,180 เมตร การด้อยคุณภาพของเยื่อใยสั้นฟอกขาวซัลเฟตชานอ้อยดังกล่าว ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการนำเยื่อใยยาวมาผสมเพิ่มขึ้นให้ได้มาตรฐานคิดเป็นจำนวน 276,083.58 บาท ขอให้บังคับจำเลยในฐานะผู้ขายรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ตามคำฟ้องแสดงชัดว่าโจทก์ฟ้องตามข้อสัญญาเรื่องความรับผิดเกี่ยวกับความชำรุดบกพร่องของสินค้าที่ซื้อขายเพียงอย่างเดียว ไม่ได้ฟ้องบังคับตามข้อสัญญาในเรื่องอื่น อีกทั้งตามสัญญาข้อ 7 และข้อ 8 ซึ่งเป็นกรณีที่ผู้ขายผิดสัญญา อันมีผลทำให้ผู้ซื้อมีสิทธิบอกเลิกสัญญาหรือมีสิทธิเรียกเบี้ยปรับต่อกัน ก็มิได้กล่าวให้มีผลบังคับถึงสัญญาข้อ 4 ในเรื่องความรับผิดเกี่ยวกับความชำรุดบกพร่องของสินค้าที่ซื้อขายแต่อย่างใด กรณีตามฟ้องจึงเป็นเรื่องที่โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 รับผิดฐานส่งมอบสินค้าที่ชำรุดบกพร่องให้โจทก์ไม่ใช่ฟ้องให้รับผิดฐานผิดสัญญาซื้อขายจึงต้องห้ามมิให้ฟ้องคดีเมื่อพ้นเวลาปีหนึ่งนับแต่เวลาที่ได้พบเห็นความชำรุดบกพร่องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 474

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาขายเยื่อใยสั้นฟอกขาวซัลเฟตชานอ้อย จำนวน 500 เมตริกตัน ให้แก่โจทก์ในราคา 4,746,775บาท โดยจำเลยที่ 2 เป็นผู้เข้าทำสัญญาค้ำประกันการซื้อขายดังกล่าวเป็นเงิน 245,000 บาท โดยกำหนดในสัญญาค้ำประกันว่า หากจำเลยที่ 1ไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขในสัญญาที่ทำไว้กับโจทก์หรือผิดเงื่อนไขข้อหนึ่งข้อใด ซึ่งโจทก์มีสิทธิยึดหลักประกันหรือเรียกค่าปรับหรือเรียกค่าเสียหายใด ๆ จากจำเลยที่ 1 ได้แล้วจำเลยที่ 2ยอมชำระเงินแทนให้แก่โจทก์ทันทีโดยมิต้องเรียกร้องให้จำเลยที่ 1ชำระก่อน ต่อมาวันที่ 20 กรกฎาคม 2524 จำเลยที่ 1 ได้ส่งมอบเยื่อใยสั้นฟอกขาวซัลเฟตชานอ้อยจำนวน 500 เมตริกตันให้แก่โจทก์ปรากฏว่าเยื่อใยสั้นฟอกขาวซัลเฟตชานอ้อยที่จำเลยที่ 1 ส่งมอบตามสัญญา รายการคุณภาพความยาวเมื่อขาดหน่วยเป็นเมตรต่ำกว่าที่กำหนดไว้ 5,000 เมตร เป็น 4,180 เมตร การด้อยคุณภาพของเยื่อใยสั้นฟอกขาวซัลเฟตชานอ้อยดังกล่าวทำให้โจทก์ต้องเสียหายเนื่องจากโจทก์ต้องใช้เยื่อใยยาวเพิ่มขึ้นให้ได้ระดับมาตรฐานการผสมกันในอัตราส่วนที่โรงงานกระดาษบางปะอินกำหนดไว้ซึ่งโจทก์จะต้องเสียค่าใช้จ่ายจากการใช้เยื่อใยเพิ่มขึ้นเป็นเงินทั้งสิ้น 276,083.58 บาท โจทก์ได้มีหนังสือแจ้งให้จำเลยที่ 1 นำเงินค่าปรับเยื่อใยสั้นฟอกขาวซัลเฟตไปชำระให้โจทก์ภายใน 15 วันจำเลยที่ 1 ได้รับหนังสือแล้วไม่ยอมชำระถือว่าจำเลยที่ 1ตกเป็นผู้ผิดนัดต้องรับผิด จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ค้ำประกันจะต้องรับผิดต่อโจทก์ตามสัญญาค้ำประกัน ขอให้บังคับจำเลยที่ 1ชำระเงินจำนวน 339,586.34 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ7.5 ต่อปี ในต้นเงิน 276,083.58 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จให้จำเลยที่ 2 ชำระเงินจำนวน 258,106.78 บาท แก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงิน 245,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 1 มิได้ประพฤติผิดสัญญาเยื่อใยฟอกขาวซัลเฟตชานอ้อยที่จำเลยที่ 1 ส่งมอบให้แก่โจทก์มีคุณสมบัติครบถ้วนตามที่กำหนดกันไว้ทุกประการ จำเลยที่ 1 ไม่ต้องชำระค่าเสียหายให้แก่โจทก์ ค่าเสียหายที่โจทก์เรียกมาสูงเกินกว่าเหตุ โจทก์ฟ้องคดีเมื่อพ้นกำหนดปีหนึ่งนับแต่เวลาส่งมอบทรัพย์สินที่ขายตามคำพรรณนาหรือนับแต่เวลาที่ได้พบความชำรุดบกพร่องของทรัพย์สินดังกล่าว คดีโจทก์จึงขาดอายุความขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ตามสัญญาค้ำประกันเพราะจำเลยที่ 1 ส่งมอบสินค้าให้โจทก์ถูกต้องครบถ้วนตามสัญญาที่จำเลยที่ 1 ทำไว้กับโจทก์แล้ว คดีโจทก์ขาดอายุความเนื่องจากโจทก์ฟ้องคดีเมื่อพ้นกำหนดปีหนึ่ง นับแต่วันได้พบเห็นความชำรุดบกพร่อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน150,000 บาท แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับตั้งแต่วันที่ 10 สิงหาคม 2531 จนกว่าจะชำระเสร็จ ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2
โจทก์และจำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2528ให้จำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน 150,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 8 ธันวาคม 2530แต่ดอกเบี้ยเมื่อรวมกับเงินต้นแล้วไม่เกิน 245,000 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ส่วนที่จำเลยที่ 2 ฎีกาในข้อกฎหมายว่า กรณีตามฟ้องเป็นเรื่องโจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 รับผิดฐานส่งมอบสินค้าที่ชำรุดบกพร่องให้โจทก์ไม่ใช่ฟ้องให้รับผิดฐานผิดสัญญาซื้อขาย ต้องห้ามมิให้ฟ้องคดีเมื่อพ้นเวลาปีหนึ่ง นับแต่เวลาที่ได้พบเห็นความชำรุดบกพร่อง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 474 โจทก์ฟ้องคดีนี้เกินกำหนดดังกล่าว คดีโจทก์จึงขาดอายุความนั้น ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ตามสัญญาซื้อขายเยื่อใยสั้นฟอกขาวซัลเฟตชานอ้อย เอกสารหมายเลข 7 ท้ายฟ้องข้อ 1 ข้อ 2 และข้อ 4ได้ระบุไว้ชัดแจ้งว่า ผู้ซื้อตกลงซื้อและผู้ขายตกลงขายสินค้าดังกล่าวมีรายการคุณภาพตามสัญญาข้อ 1.1 โดยผู้ขายรับรองว่าเยื่อใยสั้นฟอกขาวซัลเฟตชานอ้อยที่ขายให้ผู้ซื้อมีคุณภาพไม่ต่ำกว่าที่กำหนดไว้ และเมื่อทำการตรวจสอบต้องมีคุณภาพไม่ต่ำกว่าที่กำหนดไว้ด้วยการตรวจสอบจะต้องให้ผู้ตรวจสอบในต่างประเทศทำการตรวจสอบและออกใบรับรองให้เป็นไปตามที่ตกลงซื้อขายกันเสียก่อนจึงจะส่งลงเรือได้และผู้ซื้อจะให้สถาบันตรวจสอบวิเคราะห์ของทางราชการทำการตรวจสอบหรือวิเคราะห์คุณภาพ โดยให้ถือว่าผลการตรวจสอบหรือวิเคราะห์คุณภาพของสถาบันนี้เป็นที่สุด ถ้าเยื่อใยสั้นฟอกขาวซัลเฟตชานอ้อยที่วิเคราะห์แล้วไม่เป็นไปตามรายการคุณภาพตามสัญญาข้อ 1.1 ผู้ซื้อจะรับไว้ทั้งหมดหรือไม่รับทั้งหมด หรือจะรับไว้เป็นบางส่วนก็ได้ถ้าผู้ซื้อรับไว้ทั้งหมดหรือรับไว้เป็นบางส่วนก็ดี ผู้ซื้อจะลดราคาตามส่วนคุณภาพที่ด้อยลง จะเห็นได้ว่าข้อสัญญาที่กล่าวมานี้เป็นเรื่องความรับผิดเกี่ยวกับความชำรุดบกพร่องของสินค้าที่ซื้อขายซึ่งโจทก์ก็ได้กล่าวในฟ้องยืนยันว่า จำเลยที่ 1 กระทำผิดข้อสัญญาดังกล่าว โดยส่งมอบเยื่อใยสั้นฟอกขาวซัลเฟตชานอ้อยจำนวน 500เมตริกตัน ตามสัญญาให้แก่โจทก์ แต่รายการคุณภาพความยาวเมื่อขาดหน่วยเป็นเมตรต่ำกว่าที่กำหนดไว้ 5,000 เมตร เป็น4,180 เมตร การด้อยคุณภาพของเยื่อใยสั้นฟอกขาวซัลเฟตชานอ้อยดังกล่าวทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการนำเยื่อใยยาวมาผสมเพิ่มขึ้นให้ได้มาตรฐาน คิดเป็นเงินจำนวน 276,083.58บาท ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้ขายและจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ค้ำประกันรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ตามคำฟ้องแสดงชัดว่าโจทก์ฟ้องตามข้อสัญญาเรื่องความรับผิดเกี่ยวกับความชำรุดบกพร่องของสินค้าที่ซื้อขายเพียงอย่างเดียว ไม่ได้ฟ้องบังคับตามข้อสัญญาในเรื่องอื่น อีกทั้งตามสัญญาข้อ 7 และข้อ 8 ซึ่งเป็นกรณีที่ผู้ขายผิดสัญญาอันมีผลทำให้ผู้ซื้อมีสิทธิบอกเลิกสัญญาหรือมีสิทธิเรียกเบี้ยปรับต่อกัน ก็มิได้กล่าวให้มีผลบังคับถึงสัญญาข้อ 4ในเรื่องความรับผิดเกี่ยวกับความชำรุดบกพร่องของสินค้าที่ซื้อขายแต่อย่างใด ดังนั้น กรณีตามฟ้องจึงเป็นเรื่องที่โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 รับผิดฐานส่งมอบสินค้าที่ชำรุดบกพร่องให้โจทก์ไม่ใช่ฟ้องให้รับผิดฐานผิดสัญญาซื้อขาย จึงต้องห้ามมิให้ฟ้องคดีเมื่อพ้นเวลาปีหนึ่งนับแต่เวลาที่ได้พบเห็นความชำรุดบกพร่องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 474 ข้อเท็จจริงได้ความว่าโจทก์รับทราบรายงานผลการตรวจวิเคราะห์ของกรมวิทยาศาสตร์บริการเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2524 แต่โจทก์เพิ่มนำคดีมาฟ้องศาลเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2531 ซึ่งพ้นเวลาปีหนึ่งนับแต่เวลาที่โจทก์ได้พบความเห็นความชำรุดบกพร่องของสินค้าที่ซื้อขายแล้วคดีโจทก์จึงขาดอายุความ
พิพากษาแก้เป็นว่า สำหรับจำเลยที่ 2 ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์

Share