คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5449/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามฎีกาของโจทก์ตอนแรกโจทก์กล่าวมาในฎีกาว่าคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ยังคลาดเคลื่อนอยู่ทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย แต่อีกตอนหนึ่งโจทก์กลับกล่าวเป็นทำนองเห็นด้วยคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่า ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าสัญญาดังกล่าวถูกต้องเป็นสัญญาทีสมบูรณ์โดยชอบด้วยกฎหมาย ฎีกาของโจทก์จึงขัดแย้งกัน อีกทั้งมิได้คัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าตีความสัญญาไม่ถูกต้องผิดจากที่คู่กรณีบ่งชี้ไว้อย่างไรและโจทก์ไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เพราะเหตุใดถือว่าเป็นฎีกาของให้โจทก์ได้มีสิทธิเข้าไปปรับปรุงทำถนนในที่พิพาทซึ่งยังค้างอยู่ต่อไปนั้น เนื่องจากคดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินตามสัญญาซื้อขายให้แก่โจทก์ คำขอตามฎีกาของโจทก์ดังกล่าวจึงเป็นข้อที่ที่ไม่่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฎีกาของโจทก์จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคแรก ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย เมื่อฎีกาของโจทก์ต้องห้ามดังวินิจฉัยมาปัญหาตามฎีกาของโจทก์ในข้อที่ว่า โจทก์ได้ทำถนนเข้าไปในที่ดินพิพาทแล้วหรือไม่ จึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นสามีภรรยากันได้ตกลงว่าสัญญาขายที่ดินโฉนดเลขที่ 714 ให้แก่โจทก์เพื่อทำถนน แต่่จำเลยทั้งสองไม่ยอมโอนที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายขอให้บังคับจำเลยทั้งสองโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินตามสัญญาซื้อขายให้แก่โจทก์ หากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทน กับให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าเสียหายเป็นเงินจำนวน 690,600 บาท แก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยทั้งสองไม่เคยทำสัญญาขายที่ดินตามฟ้องให้แก่โจทก์ นิติกรรมดังกล่าวเกิดจากการฉ้อฉลของโจทก์ไม่มีผลผูกพันจำเลยทั้งสอง ค่าเสียหายตามฟ้องจำเลยทั้งสองไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ เพราะเป็นเรื่องที่โจทก์เข้าผูกพันตนกับบุคคลภายนอกเอง ไม่เกี่ยวข้องกับจำเลยทั้งสอง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามฎีกาของโจกท์ตอนแรกโจทก์กล่าวมาในฎีกาว่า คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ยังคลาดเคลื่อนอยู่ทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย สำหรับข้อกฎหมาย การที่ศาลอุทธรณ์ตีความข้อตกลงแห่งสัญญาซื้อขายที่ดิน ตามเอกสารหมาย จ.1 ผิดจากที่คู่กรณีบ่งชี้ไว้ในสัญญา โจทก์ขอให้ศาลฎีกาโปรดพิพากษาว่าจะเข้าลักษณะสัญญาประเภทใด แต่อีกตอนหนึ่งโจทก์กลับกล่าวเป็นทำนองเห็นด้วยกับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่า ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าสัญญาดังกล่าวถูกต้องเป็นสัญญาที่สมบูรณ์โดยชอบด้วยกฎหมาย ศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยโต้แย้ง คงพิจารณาไปในทางว่าโจทก์ไม่ได้ทำถนนเข้าไปในที่พิพาทเท่านั้นฎีกาของโจทก์จึงขัดแย้งกัน อีกทั้งมิได้คัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าตีความสัญญาไม่ถูกต้องผิดจากที่คู่กรณีบ่งชี้ไว้อย่างไร และโจทก์ไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เพราะเหตุใด ถือว่าเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง ส่วนที่โจทก์ฎีกาขอให้โจทก์ได้มีสิทธิเข้าไปปรับปรุงทำถนนในที่พิพาทซึ่งยังค้างอยู่ต่อไปนั้นเนื่องจากคดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินตามสัญญาซื้อขายให้แก่โจทก์ คำขอตามฎีกาของโจทก์ดังกล่าวจึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นที่ไม่่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ฎีกาของโจทก์จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคแรก ศาลฎีกาไม่ร้บวินิจฉัยเมื่อฎีกาของโจทก์ต้องห้ามดังวินิจฉัยมา ปัญหาตามฎีกาของโจทก์ในข้อที่ว่า โจทก์ได้ทำถนนเข้าไปในที่ดินพิพาทแล้วหรือไม่จึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวเช่นกัน
พิพากษายกฎีกาของโจทก์

Share